วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

เครียดเพราะหนี้

คำเตือน... ท่านที่อ่าน ท่านที่รับฟังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ต้อง...ต้อง...อ่าน จน จบ มิฉะนั้น.......ห้าม อ่าน โดยเด็ดขาด วันก่อนนี้...17 สิงหาคม 54 คุณบัณฑิต ปิ่นมงคลกุล...ผู้ดำเนินรายการ ธรรมะ บันดาลใจ ชวนผมไปบันทึกเทปรายการ เป็นตอนที่ 6 เรื่องที่คุยกันในรายการ ก็เน้นไปเกี่ยวกับ...หนี้ ต้นเหตุของหนี้ ความทุกข์ระทม ความเครียด ไปจนถึงจุดที่ผมรับไม่ไหว ตัดสินใจ...ผูกคอตาย ทำให้ผมมานึกได้ว่า ที่เคยเล่าไปในตอน...กรรมทันตา ผูกคอตาย ยังมีบางอย่างที่คนฟัง คนอ่านอาจเข้าใจในสิ่งที่ผมจะสื่อผิดไปบ้าง เลยอยากเล่าขยายเพิ่มซะหน่อย ครับ ในตอนนั้น ผมค้าขายรถยนต์มือสอง ธุรกิจนี้น่ะมันไม่ผิดหรอก แต่ผมเองที่ทำตัวชั่วเลว ผิดศีลธรรม ย้อมแมว โกหกหลอกลวง ทำธุรกิจแบบกะล่อนปลิ้นปล้อนสารพัด บาปกรรม ก็เลยตามสนองผมอย่างเต็มที่ เงินทองที่ได้มา...เป็นเงินร้อน หาได้มากเท่าไหร่ก็หมดไปอย่างไม่เข้าเรื่อง ฟุ้งเฟ้อใช้ชีวิตอย่างประมาท ทำตัวเป็นเสี่ยหนุ่ม เสื้อผ้าเบรนเนม นาฬิกาต้องโรเล็กซ์ ปากกาดูป๊องค์ กินอยู่อย่างลืมตัว บวกกับเงินลงทุนที่มีมาน้อย แต่ตะบันกู้...เยอะ ทั้งๆ ที่เรียนด้านบริหารธุรกิจโดยตรง แต่ค้าขายไม่เป็น ไม่สามารถเอาความรู้ที่เล่าเรียนมาอย่างดี ปรับใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ ผิดพลาดไปหมดทุกเรื่อง เริ่มตั้งแต่ค่าเช่าสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโฆษณา เงินเดือนพนักงานลูกน้อง หนักที่สุดก็...ดอกเบี้ยเงินกู้...สมัยนั้นแค่ร้อยละ 2 บาท 3 บาท ต่อเดือนยังแย่ พอเงินไม่พอก็ไปแลกเช็คกู้มาเพิ่มอีก เอาหนี้ใหม่ที่ใหญ่กว่าไปโปะหนี้เก่า พอถึงเวลาจ่ายหาไม่ทัน ก็ไปกู้มากขึ้นไปอีก แล้วก็กู้มากขึ้น...มากขึ้น...อีก กู้อันนี้โปะอันโน้น หมุนอุตลุตจนมึนตึ๊บ.บ.. ขนาดต้องขายบ้านที่พ่อแม่ของผมให้มาไปหลังหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่พอ ต่อมาก็ต้องขายที่ดินแปลงสวยๆ ที่พ่อตา แม่ยายให้ภรรยาผมไปอีก ขายแต่ละครั้งก็ไม่ได้ราคา เพราะรีบร้อนขาย...มันจวนตัว ขนาดว่าไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ไม่เล่นการพนัน ไม่เที่ยวกลางคืน อย่างที่บอก บาปกรรมทำไว้เยอะมาก ต้องไปนอนในตะราง ที่โรงพัก และคุกคลองเปรม มาแล้ว คนที่น่าสงสาร ต้องมาทุกข์แสนสาหัสกับผมด้วยก็คือ...คุณหม่อง ภรรยาของผม ในตอนที่เริ่มธุรกิจ ผมคิดเอง ลุยเองไม่ฟังเสียงใคร ภรรยาก็คอยทักท้วง คอยเบรก แต่ผมมันดื้อถือดีไม่ยอมฟัง จนเค้าระอาไม่อยากยุ่ง แต่พอปัญหามันสะสมมากขึ้น...มากขึ้น ความเครียดก็มากตามไปด้วย เริ่มนอนไม่หลับ กินไม่ได้ หงุดหงิดพาลหาเรื่อง เริ่มมีปากเสียงกันบ้าง จนหนักๆ ขึ้นก็ทะเลาะกัน...ผมนี่แหละหาเรื่องเค้าก่อนทุกที ที่แย่ที่สุดคือ...ความละอาย อายลูก อายเมีย เรานี่มันตัวล้างผลาญ เรามันห่วย มันแย่ ละอายที่ทำตัวเป็นพวกต้มตุ๋น หมดความภูมิใจในตัวเอง ละอายที่ทำให้ครอบครัวลำบาก พอเริ่มผิดนัดชำระ เจ้าหนี้ก็ตามทวงสารพัด โทร.จิก โทร.ด่า มาตามทวงที่ออฟฟิซ ทวงที่บ้าน ภรรยาก็หน้าเสีย หน้าดำทุกวัน พอหมุนเงินไม่ทันจริงๆ ผมถูกจับคดีเช็คเด้ง คุณหม่อง ก็ต้องวิ่งเต้นประกันตัวออกมา...อย่างยากเย็น และเหนื่อยใจ ไม่ใช่ครั้งเดียวนะครับ ถูกจับขณะที่ยังอุ้มลูกก็เคยมาแล้ว ละอายมากๆ เข้าก็ไม่อยากอยู่ให้ครอบครัวต้องมาทนลำบากเพราะเราอีกแล้ว ความเครียดมันรุมเร้า สุขภาพก็เริ่มแย่ ปวดตามข้อ ปวดตามกระดูก ร่างกายมันหลั่งกรดยูลิคออกมาจนกลายเป็นโรคเก๊าท์ เจ็บปวดทรมานทุกครั้งที่ขยับตัว ความทุกข์ทรมานที่มากจนอธิบายยังไงก็คงไม่เข้าใจ ทุกข์กายน่ะพอรับสภาพได้ แต่ทุกข์ใจนี่สิ...สุดแสน มันเหมือนน้ำที่ถูกตั้งไฟ...ค่อยๆ ร้อนขึ้น ร้อนขึ้น ร้อนขึ้นทีละนิด ร้อนรนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่ง...ตื่นเช้ามาก็เหมือนเดิม โทรศัพท์ดังขึ้นผมก็หน้าเสีย พอรับสายเสียงเจ้าหนี้ด่ามาอุตลุด ภรรยาก็เดาได้ว่าอะไรเกิดขึ้น...ผมฟิวส์ขาด สติอารมณ์มันพังทลาย หันไปทะเลาะกับคุณหม่อง ทันที เธอก็คงจะสุดแสนจะทุกข์เหมือนกัน น้ำตาร่วงเป็นสาย...เดินหนีไป เท่านั้นแหละ ละอายใจอย่างที่สุด อารมณ์ของผมก็ถึงจุดระเบิด ตะโกนไล่หลังภรรยาไปว่า... ถ้าไม่มีฉันซะคนคงจะดีกว่านี้... แล้วก็คว้าเชือกไนล่อนเส้นขนาดนิ้วก้อย วิ่งไปที่ดาดฟ้า ...ผูกคอตาย... แปลกนะ มันไม่เจ็บ ไม่ปวดซักนิด...มันวูบ.บ..บ....ไปเลย โชคยังดีอย่างมหาศาล วันนั้นพี่สาวกับพี่เขยของคุณหม่อง มาค้างที่บ้านด้วย พี่เขยวิ่งขึ้นไปช่วยได้ทันอย่างหวุดหวิด เขาบอกว่า... ได้ยินเสียงทะเลาะกันก็เอะใจ วิ่งขึ้นไปก็เห็น...ห้อยต่องแต่งอยู่แล้ว พอฟื้นขึ้นมา เห็นภรรยานั่งร้องให้ไม่พูดไม่จา...มีแต่แววตาเท่านั้น ที่บอกทุกอย่าง ทั้งตกใจ หวาดหวั่น...ทั้งเสียใจที่ผมคิดโง่ ๆ คิดสั้น ๆ และทั้งดีใจอย่างที่สุด...ที่ผมยังไม่ตาย หลังจากนอนไม่พูดไม่จาอยู่ครึ่งวัน ภรรยาก็เข้ามาคุยด้วย มาปลอบใจ...มาบอกให้สู้ บอกให้ค่อยๆ คิดกันนะ เราสองคนต้องช่วยกันนะ ส่วนผมน่ะ...พอเฉียดผ่านเส้นยาแดงของความตายมาได้ สภาพจิตใจก็เปลี่ยนไป จากที่ท้อแท้ หมดแรงหมดอาลัยตายอยาก กลายเป็นเหี้ยมเกรียมขึ้น ไม่ได้นึกเกรงกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ หรือวันต่อๆ ไปอีกแล้ว ความตายมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยนึกไว้ มันแค่นิ๊ด.ด..เดียวเอง ระหว่างความเป็นกับความตาย แค่นี้เอง จริง จริง... แล้วถ้าอย่างนั้นจะกลัวอะไรอีกล่ะ ที่ผ่านมามัวแต่กลัว มันแต่เครียด ต่อไปนี้ จะต่อสู้กับชีวิตให้ถึงที่สุด...ของที่สุด รุ่งขึ้นอีกวัน ผมไปหาเจ้าหนี้ทุกราย ไปเล่าให้ฟังว่า...เมื่อวานนี้ผมผูกคอตายแล้ว แต่ดันมีคนมาช่วยไว้ แล้วก็เปิดให้ดูรอยเชือกที่รอบคอ ซึ่งรอยเชือกนี้อยู่ไปเกือบ 10 วันแน่ะ เจ้าหนี้ตกใจทุกคน กลัวผมตาย กลัวหนี้สูญ บอกให้ผมใจเย็นๆ ยอมผ่อนผันยืดระยะเวลาให้ หลังจากนั้นผมกับภรรยา ก็หันมาคุยกันทุกเรื่อง ทุกความผิดพลาด หาวิธีใช้หนี้ด้วยทั้งแบบที่เป็น วิทยาศาสตร์ และไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไอ้ที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง แต่ที่ไม่ใช่น่ะ ขอให้ท่านที่เป็นแฟนใหม่ไปหาอ่านจากเรื่อง ...กรรมทันตา แรงฤทธิ์อธิษฐาน...ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากผ่านไปไม่นาน และเรื่อง...กรรมทันตา อธิษฐานหนีกรรม...ซึ่งเกิดขึ้นต่อมา วิธีการเอาชนะหนี้ของผมแบบที่เป็น วิทยาศาสตร์ คือ หลังจากคุยปรึกษากันอย่างเข้าอกเข้าใจดีแล้ว ได้หนังสือของ อ.สุวรรณ วลัยเสถียร ท่านบอก ต้องเอาทุกอย่างลงกระดาษ...เขียนออกมาให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม ฝั่งซ้าย เป็นทรัพย์สินที่มี บ้าน รถ ถ้าขายตอนนี้จะได้ราคาเท่าไหร่เอาให้แน่ รายได้ที่มีอยู่ วันละเท่าไหร่ เดือนละเท่าไหร่ เอาให้ชัด ฝั่งขวา เป็นรายจ่ายที่มีทุกอย่าง น้ำ ไฟ โทรศัพท์ ค่าผ่อนค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเสื้อผ้า อาหารแต่ละวัน แต่ละเดือน เอาให้ละเอียดยิบ ที่สำคัญ...หนี้สินที่มีทั้งหมด ขอย้ำทั้งหมด มีเท่าไหร่อะไรบ้าง ทั้งเงินกู้ ทั้งบัตรเครดิต มีกี่เจ้า กี่ใบ จดให้ละเอียด ลงลึกถึงช่วงเวลาที่ต้องจ่าย เจ้าไหนต้องจ่ายวันไหน จ่ายครั้งละเท่าไหร่ เรียงวัน มาให้เห็นเด่นชัด...ห้ามหมกเม็ดโดยเด็ดขาด ขอบอกว่า ถ้าอยากหมดหนี้ก็ต้องทำนะครับ ตอนที่เขียนออกมาน่ะ...มันเจ็บปวดดีพึลึก เขียนไปเจ็บไป โปรดฟังอีกครั้ง...ถ้าอยากหมดหนี้ ก็ต้องเขียนออกมาให้หมด ถ้าคุณยอมเขียนทุกอย่างออกมา อีทีนี้ก็จะมองเห็นแล้วว่าจะเอายังไงต่อกันดี คุณจะยอมมั้ย ถ้าหมดหนี้หมดสิน แต่...ไม่เหลืออะไรเลย แล้วมาเริ่มต้นชีวิตใหม่...เอามั๊ย อ.สุวรรณ ท่านบอกให้หาเงินก้อนไปตัดหนี้ที่ร้ายแรงที่สุดก่อน หนี้ที่ดอกแพง ดอกโหดที่สุดก่อน ห้ามไปกู้นอกระบบมาอีกโดยเด็ดขาด ให้หันไปกู้จากธนาคารแล้วผ่อนอย่างเป็นระบบ ยืดเวลาการผ่อนให้ได้ยาวที่สุด เพื่อให้จำนวนเงินค่างวดมันไม่มากเกินไป ไม่เกินจะรับไหว แต่ถ้าหากู้ธนาคารไม่ได้ ก็ไม่ต้องกู้...ขายทรัพย์สินที่มีอยู่ทิ้งซะให้หมด บ้านที่ผ่อนอยู่ ก็ขายแล้วไปหาเช่าซะก็ได้ รถที่ผ่อนจนหูตูบก็ขาย แล้วนั่งแท๊กซี่ หรือซื้อมอเตอร์ไซค์มือสองมาแทน ไม่ต้องสนใจใครหน้าไหนจะมอง จะนินทาเรายังไง เพราะทุกวันนี้โดนทวงหนี้จนชาวบ้านเขาก็รู้กันหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องอายแล้ว ถ้ายังทนทู่ซี้ต่อไป ก็ไม่วายต้องถูกฟ้องยึดบ้าน ยึดรถอยู่ดีแหละ ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้ว...รีบขายทิ้งซะก่อนดีกว่า คุยปรึกษา เล่าทุกอย่างให้ลูก ให้เมียเข้าใจและรับสภาพให้ได้ คนเราเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน...วันนี้หมด พรุ่งนี้ก็หาใหม่ได้ ถ้าคุณทำอย่างที่ผมบอก ทุกอย่างก็จะเบาขึ้น อ้อ...สำหรับคนที่เขียนออกมาแล้ว ไปไม่รอด ไม่มีทรัพย์สินอะไรจะขายแล้ว แถมเจ้าหนี้ก็เร่งเร้าอย่างทารุณ คำแนะนำสำหรับผม คือ...หยุดจ่าย บอกให้ท่านเจ้าหนี้ไปฟ้องเอา ประนอมหนี้ที่ศาล...ดอกเบี้ยถูกกว่ามากมายก่ายกอง คนที่เป็นข้าราชการ เจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับยึดเงินเดือนเราได้แม้แต่บาทเดียว แต่ที่ไม่ใช่ข้าราชการ ถึงที่สุดแล้วศาลท่านจะให้หักเงินเดือนไม่เกิน 30 เปอร์เชนต์...แค่นั้น ส่วนท่านที่เป็นนักธุรกิจ ถึงแม้จะถูกฟ้องล้มละลายก็ช่างมันเหอะ มีเศรษฐีพันล้านถูกล้มละลายเยอะแยะไป ไม่ต้องอายใคร ทุกวันนี้มองไปรอบ ๆ ขอถามหน่อยเหอะ...คนที่ไม่เป็นหนี้ มีสักกี่คน หรือคนที่ไม่ไหวแล้ว ไม่รอดแล้ว เจ้าหนี้โหดร้ายมาก แนะนำให้...หนี...หนีไปไกลๆ หนีไปตั้งหลัก ไม่ได้ให้โกงเค้านะครับ ไปตั้งหลักหาเงินได้แล้วค่อยเอามาใช้ เขียนมายาวเกินไปแล้ว ขอต่อตอนหน้านะครับ ต้องตามมาอ่านให้ครบ ห้ามพลาดเด็ดขาด อนณ 089-995-9377 tobeteam@yahoo.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น