วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

"ระลึกชาติ" ตายแล้วไม่สูญ ตอนจบ

การระลึกชาติตามบันทึกของ พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ ที่ผู้เขียนนำมาเล่าให้ผู้อ่านได้ติดตามกันในตอนที่แล้วถือเป็นหนทางหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด แม้เราเองจะระลึกชาติไม่ได้ แต่ประสบการณ์จากผู้อื่นก็คือเป็นวิทยาทานให้เราได้ศึกษาเพื่อที่ต่อไปเราจะไม่ประมาท ต้องระวังตัวต่อการทำบาป เพียรสร้างความดีให้มากที่สุด เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว "บ้าน" ของเราในภพหน้าจะเป็นอย่างไร... ผศ.วิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ ผู้ที่มีความทรงจำอดีตติดตัวมา ยังมีอีกท่านหนึ่งซึ่งไม่เคยฝึกสมาธิแต่ยังมีความทรงจำครั้งอดีตติดตัวมาท่านคือ ผศ.วิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยท่านจำได้ว่าชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นผู้หญิง จำได้แม้กระทั่งภาวะใกล้จะสิ้นลม ภาพเหตุการณ์หลังจากเสียชีวิตแล้ว ไปอยู่ ณ สถานที่ใดและก่อนจะมาเกิดใหม่มีความรู้สึกอย่างไร อาจารย์วิวัฒน์ชัยได้เริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า มีประสบการณ์ที่จำได้บางส่วนอย่างหนึ่งซึ่งอาจารย์เรียกว่า "ระลึกชาติ" ความทรงจำนี้เริ่มขึ้นเมื่อวัยเด็ก และเมื่อเพียรเล่าให้คนรอบตัวฟังก็มักจะถูกดุ ถูกห้ามไม่ให้พูดเสมอ ยาเม็ดลืมชาติ "ผมเกิดที่กรุงเทพฯ ตรงวัดตรีทศเทพ เมื่อเด็กๆพอเล่าเรื่องนี้ทีไรแม่จะตีเรื่อย ผมก็เล่าอยู่ไม่รู้กี่ครั้งจนแม่สั่งห้าม คือผมมีความรู้สึกว่าผมเคยเห็นแม่ผมกับเพื่อนเขา 3-4 คนเนี่ยไปเดินอยู่ในวัดซึ่งตอนหลังผมมารู้ว่าที่นั่นคือวัดตรีทศเทพ เขากำลังเผาศพผมอยู่และสมัยนั้นวัดที่ผมตายไม่มีเตาเผาศพ เขาเอาไม้ฟืนมากองเป็นชั้นๆผมจำได้ว่ามีพระนุ่งผ้าสบงใช้เหล็กเขี่ยศพผมพลิกกลับไปกลับมาผมก็ยืนดูอยู่เสร็จแล้วก็เห็นแม่กับเพื่อนเขาหาทางออกไม่ได้ เพราะที่วัดตรีทศเทพมันจะมีนายป้าช้าคนหนึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่เขาปิดทางไม่ให้ออกแม่แกก็เดินวนไปวนมา ตอนหลังจึงไปถามพระ" ท่าทางออกอยู่ตรงไหน "พระท่านก็ว่า" โอ๊ย...ไอ้ผีพวกนี้คอยปิดทางอีกแล้วหรือ "แล้วตอนหลังแกก็ออกไปได้" "พอหลังจากนั้นผมไม่รู้ว่ามันเป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็มีเสียงบอกว่า "เอ้า...ถึงเวลาไปเกิดกันแล้ว" เขาก็เรียกไปเข้าแถว ผมอยู่แถวสุดท้ายที่มีชัก 5-6 คนได้มั้ง แล้วเขาก็ให้ดินเม็ดกลมๆเขาบอกว่าก่อนจะเกิดให้กินเม็ดลืมชาติก่อน มันเป็นเม็ดกลมๆแต่ผมกินไม่หมด กินแค่ครึ่งเม็ดแล้วทิ้ง เพราะไม่อยากกิน อยากจะจำได้ พอกินเข้าไปรู้สึกชานะ แบบหมุนวิ้วๆๆเหมือนดิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ซักพักหนึ่งไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จู่ๆก็ลืมตาเห็นแสงสว่าง จะพูดก็พูดไม่ได้ จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ อึดอัดมาก ผมร้องอย่างเดียว แว๊ดๆๆคือตอนนั้นมาเกิดแล้ว" ผมตายกับช่วงเวลาที่มาเกิดใหม่น่าจะห่างกันประมาณ 8 ปี อาจารย์วัฒน์ชัยเล่าให้เราฟังว่าเรื่องประหลาดที่ยังจำได้ก็คือเมื่อครั้งยังเป็นทารกอาจารย์มักจะเห็นแสงไฟเป็นดวงวาบๆซึ่งคนโบราณเขาเรียกว่าแม่ซื้อ หรือเทพที่ติดตามคุ้มครองเด็ก ซึ่งอาจารย์เชื่อว่ามีจริง ส่วนเหตุการณ์ในอดีตชาติที่ยังจำไม่เคยลืมคือ "ภาวะใกล้ตาย" และ "ชีวิตหลังความตาย" ซึ่งอาจารย์ได้เล่าให้ฟังอย่างน่าสนใจว่า... "ผมแน่ใจว่าก่อนจะตายในชาติที่แล้วผมเป็นผู้หญิงแก่ แต่ก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใครเพราะผมกินเม็ดลืมชาติน่ะ แต่ยังจำหน้าตาตัวเองในชาติที่แล้วได้ว่าไว้ผมทรงดอกกระทุ่มตายราวๆอายุ 70 กว่า และช่วงก่อนตายผมนอนอยู่บนเตียงไม้ธรรมดาๆแล้วมีคนมานั่งเฝ้ากันเยอะเลย เขาบอกว่าผมทำบุญไว้เยอะคงจะได้สมความปรารถนาซึ่งผมก็อธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าผมอยากจะเป็นผู้ชาย เพราะชาตินี้เป็นผู้หญิงไม่ได้บวช ชาติหน้าขอเป็นผู้ชายขอให้ได้บวช อีกอันหนึ่งที่ผมจำได้แม่นคือ มีคนกระซิบข้างหูก่อนที่จะตาย บอกให้สวดพุทโธๆผมก็สวดไปเรื่อยๆพอถึงจุดๆนึ่งก่อนจะหมดลมความรู้สึกมันจะค่อยๆเย็นยะเยือกจากเท้าขึ้นมาเรื่อยๆถึงตรงหน้าขาก็ไม่อยากสวดอีก ผมเลยหลับตา ได้ยินเสียงพระองค์หนึ่งพูดว่าปัฐธาตุจะหมดแล้ว ตอนนั้นมันหลุดไปเลย ดิ่งลงลิบไปเลย จิตวิญญาณหลุดไปแล้ว" คนสมัยก่อนหรือแม้กระทั่งปัจจุบันนิยมบอกหนทางให้กับคนใกล้ตาย อาจเป็นคำบริกรรมว่า "พุทโธ" ให้นึกถึงพระหรือบุญกุศล ความดีงามทั้งปวงที่เคยสร้าง ทั้งนี้ก็เพื่อหวังจะให้ไปเกิดในที่ที่ดี แต่สำหรับคนใกล้ตายที่ไฟธาตุแตกแล้วทวารก็จะเปิดหมด ฉะนั้นประสาทสัมผัสทุกส่วนก็จะไม่รับรู้ ดังนั้นเมื่อให้หนทางคำบริกรรมอะไรแก่คนจะตายเขาก็ไม่อาจรับรู้ได้ เมื่อชีวิตดับลงภาวะหลังความตายจะเป็นเช่นไร ประสบการณ์ของผู้ที่เคยสัมผัสและจำได้จากการระลึกชาติหรือตายแล้วพื้นมักเล่าไม่ตรงกัน บางคนก็ไปพบกับสถานที่สวยงามน่าอยู่ แต่บางคนก็พบกับสภาพแร้นแค้นตกระกำลำบากยิ่งกว่าเมื่ออยู่ในเมืองมนุษย์ สำหรับอาจารย์วิวัฒน์ชัยนั้นท่านเล่าถึงสังคมของโอปปาติกะที่ท่านผ่านพบมาในชีวิตหลังความตายว่า... "ขณะที่วิญญาณผมออกจากร่างผมเห็นร่างตัวเองลอยขึ้นๆเป็นร่างเราที่ไม่โปร่งแสง ตอนนั้นไม่กลัวเพราะผมรู้ว่าคนเราต้องตาย แล้วพอมารู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ที่วัดๆหนึ่งเห็นตัวเองนอนอยู่ในโลงก็รู้ว่าผมตายแล้วแน่นอน เห็นเพื่อนฝูงมามากมาย ยังจำได้เลยว่าสมัยก่อนงานศพเขาจะนุ่งโจงกระเบนสีดำ เสื้อสีขาว รองเท้าไม่ใส่ แล้วพอเข้าไปทักใครก็ไม่มีใครพูดด้วย โลงศพเขาก็ตั้งไว้ธรรมดามีสายสิญจน์ผูกแล้วก็มีถ้วยเครื่องเซ่น แต่ระหว่างที่อยู่ในโลงนั้นผมกินอะไรไม่ได้เลย รู้ว่าเขาเคาะโลงให้กินแต่ผมกินไม่ได้ เคาะไปก็ไม่มีผลอะไรแต่ผมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ที่ๆผมอยู่มีวิญญาณซัก 10 ตนนะ แต่มีคนหนึ่งเรียกว่า "นายป่าช้า" หน้าตาก็เหมือนเรานี่แหละแต่เป็นคนคอยควบคุมวิญญาณด้วยกัน" "ผมเชื่อเรื่องนี้มากเพราะมีจริง อีกเหตุการณ์นึงตอนที่แม่ผมท้องอยู่ อาเขามาขอพระ ผมก็ดูอยู่เห็นแม่เขาให้พระอาไปเป็นพระวัดพลับ พิมพ์เสมาวันทา พอผมถามแม่ แม่ก็ว่าทำไมแกรู้ล่ะ แกยังอยู่ในท้องยังไม่เกิดเลย ผมก็งงไม่รู้ว่าอยู่ในท้องทำไมเรามองเห็นหรือวิญญาณเราจะอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ในท้องด้วย วิญญาณคงตามตัวเราตลอด แล้วแม่ผมเขาสันนิษฐานว่าผมเนี่ยคือคุณยายเจิมที่อยู่แถวๆวัดตรีทศเทพ แกเป็นคนชอบทำบุญสุนทาน สร้างวัดเยอะและไม่มีครอบครัว แม่เขาสนิทกับคุณยายคนนี้แต่เขาไม่ได้เป็นญาติอะไรกับทางแม่ผมนะแม่เขาเล่าว่าคุณยายเจิมเนี่ยเวลาตายแกท่อง "พุทโธ" คนแถวบ้านมาเล่าให้แม่ฟัง ตอนตายแม่ไม่ได้ไปด้วย แม่ไม่เห็น ผมก็เคยไปสืบหาบ้านคุณยายเจิมนะแต่เขารื้อไปหมดแล้ว แกไม่มีลูกมีหลาน ทรัพย์สมบัติแกยกให้วัดหมด และคิดว่าระยะเวลาที่ผมตายกับช่วงเวลาที่มาเกิดใหม่น่าจะห่างกันประมาณ 8 ปี" ในภาวะหลังความตายท่อาจารย์วิวัฒน์ชัยได้สัมผัสมาด้วยตัวเองนั้นท่านยังไม่แน่ใจว่าสถานที่ที่ไปอยู่คือสวรรค์หรือนรก หรืออาจจะไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์จากความทรงจำดังกล่าว อาจารย์บอกกับเราว่า "ประสบการณ์อย่างนี้ทำให้ผมเชื่อในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ผมถึงไม่กลัวตายผมรู้ว่าเวลาตายไปแล้วเนี่ยเราจะได้มีโอกาสเกิดใหม่ แต่สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือผมยังไม่เห็นผลของกฎแห่งกรรม เพราะผมว่าผมยังไม่ได้ไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ แต่ผมก็มีความเชื่ออย่างนึงว่าถ้าคนกลัวการทำบาปและทำความดี ทำบุญไว้มากๆจิตจะสงบ เมื่อจิตเรานิ่งมันจะทำให้เรามั่นคง ปัญญาก็จะเกิดแล้วทุกอย่างก็จะดีเอง"

"ระลึกชาติ"...ตายแล้วไม่สูญ ตอนที่ 1

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ "จิตวิญญาณ" กับการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องที่สังคมในปัจจุบันส่วนใหญ่มีความเชื่อและยอมรับว่ามีจริง ในเรื่องดังกล่าวนี้ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์เอียน สตีเวนลัน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังผู้คนคว้าเกี่ยวกับเรื่องการตายแล้วเกิดหรือระลึกชาติได้ทำการค้นคว้าวิจัยและพิสูจน์มาแล้วทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย การระลึกชาติเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ง่ายนักกับคนทั่วไป เพราะการที่คนเราจะย้อนอดีตความทรงจำของตัวเองในอดีตชาติที่แล้วๆมานั้นทำได้ยาก เนื่องจากกลไกในการเก็บบันทึกข้อมูลของแต่ละคนมีขอบเขตจำกัด แต่ก็ไม่ได้เป็นกับทุกคนเพราะบ่อยครั้งที่พบว่ามีบางคนอาจจะทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีความสามารถล่วงรู้อดีตของตนยาวไกลไปถึงอดีตชาติ ตามคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเรียกผู้ที่มีความสามารถพิเศษในการระลึกชาติไว้ว่าเป็นผู้ที่มี "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" ซึ่งเป็นหนึ่งใน 6 อภิญญาญาณ ที่หากเกิดขึ้นกับผู้ใดผู้นั้นมักจะมีประสบการณ์พิเศษที่บุคคลทั่วไปไม่มี ยกเว้นผู้ที่ผ่านการฝึกสมาธิจนสามารถสงบนิ่งและดับนิวรณ์ทั้ง 5 ได้สนิท การทำวิจัยของ ศ.ดร.เอียน สตีเวนสัน พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่พิเศษสำหรับผู้ระลึกชาติในประเทศไทยซึ่งแตกต่างไปจากประเทศอื่น ในการทำวิจัยของ ศ.ดร.เอียน สตีเวนสัน ประสบการณ์ที่ท่านพบเห็นและสัมผัสกับผู้ที่ระลึกชาติได้ทั่วโลกนั้นมีสิ่งหนึ่งที่พิเศษสำหรับผู้ระลึกชาติในประเทศไทยซึ่งแตกต่างไปจากประเทศอื่น นั่นคือผู้ที่ระลึกชาติในเมืองไทยหลายคนจะจดจำช่วงเวลาตั้งแต่ตายไปแล้วจนถึงเวลามาเกิดใหม่ได้ว่าระยะนั้นได้ทำอะไรไปบ้าง ไปอยู่ที่ไหน ซึ่งกรณีนี้ยังไม่เคยพบประเทศอื่นอย่างอินเดีย ลังกา บราซิล ตุรกี พม่า เขมร อียิปต์ ฯลฯ ศ.ดร.เอียนสันนิษฐานว่าที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่คนไทยยึดมั่นอย่างแรงกล้าและมีการนั่งสมาธิวิปัสสนากันมากซึ่งอาจช่วยให้เกิดความทรงจำในอดีตได้มากกว่า พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ เคยเกิดเป็นเทวดา ผู้เขียนมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ระลึกชาติได้ในเมืองไทยอยู่หลายกรณี แต่จะนำมาเล่าในสองกรณี ท่านแรกนั้นเป็นพันตำรวจเอก ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ส่วนอีกท่านหนึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ซึ่งปัจจุบันท่านสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ที่ระลึกชาติได้ท่านแรกมีความน่าสนใจตรงที่ท่านระลึกได้ว่าชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นเทวดาและยังได้ทำการบันทึกประสบการณ์ระลึกชาติของท่านไว้เป็นหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพของตัวท่านเอง ท่านผู้นี้คือ พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ ผู้เขียนจึงขอนำบันทึกของท่านมาเผยแพร่เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจในเรื่องของตายแล้วเกิดในรูปแบบต่างๆทั้งนี้เพื่อจะให้เกิดความเข้าใจในชีวิตได้ดียิ่งขึ้น และหมั่นสร้างบุญกุศลกันต่อไป พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ ท่านบันทึกไว้ว่า "ผม (คือ พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์) ก็ระลึกชาติได้เหมือนกัน แต่แตกต่างจากคนอื่นที่เขาเป็นกัน คนอื่นเขาเคยเป็นช้าง เคยเป็นงูซึ่งอยู่บนพื้นโลกด้วยกันเขาจะบอกสถานที่ พ่อ แม่ พี่น้อง และชื่อเสียงในชาติก่อนได้แต่ผมบอกสถานที่เดิมในชาติก่อนได้บ้างไม่มาก จะชี้ให้ใครเห็นไม่ได้ เพราะไม่ใช่ที่มนุษย์อยู่กัน" พ.ต.อ.ชติ บอกว่าการระลึกชาติของท่านนั้นมันเป็นความรู้สึกชัดเจนในความทรงจำของท่านมาตั้งแต่เด็กๆไม่มีลืมเลย ท่านบอกสถานที่ในชาติก่อนที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ว่า "รู้สึกตัวว่านอนอยู่บนแท่นๆหนึ่งลอยอยู่บนที่สูงมาก แท่นที่นั่งนอนนั้นไม่ใช่แท่นหินหรือแท่นไม้ หากแต่เป็นท่านบางใสเป็นที่นอนสบาย ยังจำเหตุการณ์ในช่วงนั้นได้ว่าแท่นที่นอนอยู่เกิดแข็งกระด้างขึ้นมา ไม่อาจนอนนิ่งสบายอยู่ได้ รอบๆ ตัวที่จำได้มองเห็นเป็นท้องฟ้า สีคราม รู้สึกตัวลอยอยู่ผู้เดียวท่ามกลางความโดดเดี่ยวและอ้างว้าง รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอยากมีเพื่อนสนทนาด้วย มองต่ำลงมาห่างออกไปอีกไม่มากมีชมรมเทพ ชมรมใหญ่กำลังสนุกสนานกันอยู่ อยากจะไปก็ไปไม่ได้ ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงบอกแกมสั่งว่า ถึงเวลาไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จึงตอบเจ้าของเสียงนั้นไปว่า "ข้าพเจ้าไม่อยากไปเกิดเป็นคน อยู่ที่นี่ดีกว่า" เสียงที่ไม่เห็นตัวบอกว่า "ต้องไป...หมดเวลาแล้ว ไปอยู่เมืองมนุษย์ถึงเวลาจะต้องกลับมาก็ไม่อยากจะกลับเสียอีก" พ.ต.อ.ชติในชาตินั้นค่อยๆเคลื่อนจากที่อยู่ลอยเลื่อนไปจนถึงที่อยู่ของเทพยดากลุ่มใหญ่ อากาศ ณ ที่นั้นสว่างไสว เทพยดาหญิงชายอยู่กันเป็นหมู่ 7-8 องค์บ้าง 2-3 องค์บ้าง วิมานคล้ายศาลาสวยงามมาก เทพยดาสนทนาปราศัยกันเป็นที่สนุกสนานเพลิดเพลิน บางวิมานมีการขับร้องดนตรีไพเราะ เทพยดาบางกลุ่มไม่มีวิมาน และเทพยดาเหล่านั้นก็ไม่สนใจ พ.ต.อ.ชติ เหมือนเขามองไม่เห็น พ.ต.อ.ชติในร่างเทพค่อยๆลอยเลื่อนไปๆจนรู้สึกเหมือนตกฮวบลงที่ต่ำมองไปรอบๆรู้สึกตัวกำลังลอยอยู่เหนือสะพานผ่านฟ้า ถนนราชดำเนินนี่เอง ลอยสูงกว่าพื้นประมาณตึก 2 ชั้น ลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ทราบว่าตัวเองจะลอยไปไหน ทันใดนั้นก็มีดวงกลมของจิตวิญญาณเคลื่อนมาจากทางป้อมพระกาฬลอยมาหยุดเคียงกับ พ.ต.อ.ชติ ดวงวิญญาณทั้งสองดวงมีลักษณะเป็นทรงกลมมีแสงเรืองออกไปโดยรอบ เมื่อมีวิญญาณใหม่มาลอยเคียงข้าง พ.ต.อ.ชาติในร่างของดวงวิญญาณก็รู้สึกดีใจหายว้าเหว่ ทั้งสองจึงลอยจากเหนือสะพานผ่านฟ้าคู่กันไปทางนางเลิ้ง ตามแนวถนนนครสวรรค์ ก่อนถึงสี่แยกนางเลิ้งเล็กน้อยมีลำคลองเล็กจากทางข้างวัดโสมนัสไปทะลุคลองข้างวัดสระเกศ ทางขวามือมีสะพานไม้เล็กพอที่ 2 คนจะหลีกกันได้ สะพานไม้เล็กๆนี้เลียบริมคลองไปมีบ้านริมสะพานห่างๆกันหลายหลัง วิญญาณดวงที่ลอยมาด้วยกันก็ลอยเลี้ยงหายแว้บไปทางสะพานนั้น วิญญาณ พ.ต.อ.ชติจะลอยตามไปบ้างก็ทำไม่ได้ ต้องค่อยๆลอยเลื่อนไปทางนาเลิ้งถึงตรงหน้าโรงหนังนาเลิ้ง (เฉลิมธานี) หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น วิญญาณ พ.ต.อ.ชติในชาติที่แล้วรู้ว่าถ้าเลยไปจะถึงสนามม้านางเลิ้ง เลี้ยวซ้ายจะเป็นที่น่าอยู่มากอยากจะไปอยู่แต่ก็ไปไม่ได้คงลอยนิ่งอยู่ที่เดิมก่อน แต่แล้วก็ต้องลอยเลี้ยวไปทางโรงหนังนางเลิ้งทั้งๆที่ไม่อยากไป หลังจากนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอย่างใดอีกรู้สึกตัวอีกทีเหมือนอยู่ในถ้ำมืด (อยู่ในครรภ์มารดา) รู้สึกอึดอัดคับแคบ ขาดอากาศ ไม่สบาย บางช่วงก็หมดความรู้สึกเหมือนหลับไป มารู้ตัวชัดเจนอีกทีก็เมื่อคลอดพ้นจากครรภ์มารดามาเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ เป็นบุตรชายของขุนนางที่มีนามบรรดาศักดิ์พระราชทานจากในหลวงว่าอำมาตย์ตรีพระลัทธาพงศ์พิรัชพากย์ (ต่วย ลัทธาพงศ์) ประสบการณ์ระลึกชาติของ พ.ต.อ.ชติ ทำให้เรามองเห็นความไม่แน่นอนของทุกสรรพสิ่ง ความเป็นเทพยดาอยู่บนสวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งคงที่ ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับผลบุญของการทำความดี เพราะหากว่าสิ้นแรงบุญเทวดาก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่ถึงอย่างไรการระลึกชาติได้ของ พ.ต.อ.ชติก็อาจจะทำให้ใครหลายๆคนเกิดความเข้าใจในกฎแห่งกรรมได้แจ่มชัดขึ้นว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วหากว่ายังไม่สิ้นกิเลสก็ต้องกลับมาเกิดใหม่อีกแน่นอน

สิ่งที่จิตระลึกก่อนตาย!!

"สิ่งที่จิตระลึกถึงก่อนตายมี ๓ชนิด" บทความธรรมะนี้คัดจากธรรมเทศนาโดยพระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตโต) สิ่งที่จิตระลึกถึงก่อนตายมี ๓ชนิด คือ

๑. กรรม ภาพกรรมดีกรรมชั่วที่เคยทำในอดีตมักหวนกลับมาปรากฏให้เห็นทั้งๆที่เราลืมไปนานแล้ว เช่นใครเคยฆ่าคนตายภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับฆาตกรรมจะกลับมาปรากฏในจิต ถ้าเคยช่วยชีวิตคนไว้ภาพตอนนั้นจะมาปรากฏ นี้แสดงว่านึกถึงกรรมหรือกระบวนการทำความดีหรือความชั่ว ดังพระบาลีว่าในสมัยนั้น กรรมทั้งหลายที่ตนทำไว้ก่อนนั้น ย่อมเกาะติดในจิตของบุคคลผู้ใกล้ตายนั้น

๒. กรรมนิมิต บางคนเคยเห็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของการทำกรรม เช่นบางคนเห็นมีดที่ตนเคยใช้ฆ่าวัว บางคนนึกถึงภาพโบสถ์วิหารที่ตนเคยสร้าง เราระลึกถึงนิมิตของกรรมใด ก็จะไปเกิดใหม่ตามพลังของกรรมนั้น

๓. คตินิมิต บางคนไม่นึกถึงกรรมในอดีต แต่กลับนึกถึงภาพของที่ที่จะไปเกิดในชาติหน้านั้นคือเห็นคตินิมิต หมายถึงภาพเกี่ยวกับที่ที่จะไปเกิด เช่นใครที่จะไปเกิดในสวรรค์ คนนั้นจะนึกเห็นวิมาน ใครจะไปเกิดเป็นประเภทสัตว์กินหญ้า จะนึกเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ภาพเหล่านี้เป็นนิมิตที่บอกล่วงหน้าว่าเราจะไปเกิดในภพภูมิใด คงเหมือนกับภาพที่บางคนฝันเห็นล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุการณ์จริงๆ (สุบิน) รวมความว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต จิตของเราระลึกถึงกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทใด เราจะไปเกิดในภพภูมิอันสอดคล้องกับกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทนั้น ดังนั้นบางคนวางแผนลักไก่คือชั่วชีวิตเขาทำบาปมากกว่าบุญ เขาจึงกะจะนึกถึงกรรมดีนิดหน่อยนั้นก่อนตาย ถ้านึกถึงพระด้วยตนเองไม่ได้ ก็สั่งลูกช่วยเตือนความจำ คนเรามักจะเตือนคนใกล้ดับจิตให้นึกถึงพระเอาไว้แต่ใครทำบาปไว้มากคงไม่อาจหลอกตัวเองก่อนตายได้ ดังมีเรื่องเล่าว่า เสี่ยคนหนึ่งเป็นพ่อค้าขายข้าวเปลือก ชอบโกงชาวบ้านด้วยวิธีตวงข้าวเปลือกไม่เต็มถัง พอเสี่ยคนนี้ใกล้ตาย ลูกสาวก็กระซิบให้เตี่ยนึกถึงพระด้วยการบริกรรมว่า สัมมา อะระหังๆ แต่เตี่ยบริกรรมตามว่า สัมมา กี่ถังๆ

"ลำดับของกรรมที่จิตระลึกได้ก่อนตาย" แท้ที่จริงนั้น กรรมที่ปรากฏในจิตก่อนตายมีลำดับการให้ผลก่อนหลังซึ่งแบ่งออกเป็น๔ชนิดคือ

๑. ครุกรรม ( กรรมหนัก ) กรรมหนักจะให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ ถ้าใครทำกรรมหนักภาพของกรรมหนักจะปรากฏในจิตก่อนตาย กรรมอื่นต้องรอโอกาสต่อไป กรรมหนักฝ่ายดีเช่นสมาบัติ๘ กรรมหนักฝ่ายไม่ดี คืออนันตริยกรรม๕ เช่นฆ่าพ่อฆ่าแม่ เป็นต้น

๒.อาจิณกรรม ( กรรมที่ทำจนชิน ) ถ้าไม่มีกรรมหนัก อาจิณกรรมจะให้ผลก่อนคือปรากฏในจิตก่อนตาย อาจิณกรรมหมายถึงกรรมที่ทำสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย กรรมประเภทนี้มีความสำคัญรองมาจากครุกรรม

๓. อาสันกรรม ( กรรมใกล้ตาย ) ถ้าไม่มีครุกรรมและอาจิณกรรม อาสันกรรมจะให้ผล อาสันกรรมหมายถึงกรรมทำก่อนสิ้นใจ เช่นการทำสังฆทานก่อนตาย หรือนิมนต์พระมาสวดมนต์ให้ฟังในวาระสุดท้าย

๔. กตัตตากรรม ( กรรมที่สักว่าทำ ) ถ้ากรรมสามอย่างข้างต้นไม่มี กตัตตากรรมจะให้ผลโดยมาปรากฏในจิตก่อนตาย กตัตตากรรมหมายถึงกรรมด้วยเจตนาอันอ่อน คือไม่ได้ตั้งใจทำ เช่นเพื่อนเอาซองผ้าป่าให้ เราก็เอาเงินทำบุญใส่ซองทำบุญอย่างเสียไม่ได้ หรือแม่สั่งให้เราใส่บาตรพระเราก็ใส่ไปอย่างนั้นเอง นี้เป็นกตัตตากรรม ที่มีน้ำหนักน้อย เพราะเจตนาอ่อน เหตุดังกล่าวนี้เองทำให้เราไม่สามารถลักไก่ได้ นั่นคือ เช่นคนที่ทำอาสันกรรมด้วยการใส่บาตรพระ ก่อนตัวเองจะตายย่อมไม่สามารถหนีกรรมหนักที่เกิดจากการฆ่าพ่อแม่ไปได้ เป็นต้น เพราะกรรมต่างๆให้ผลตามลำดับอย่างนี้ เราจะไปเกิดที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกรรม กรรมนิมิต หรือคตินิมิตที่เรานึกถึงก่อนตาย

กรรมของเพชฌฆาตโรงฆ่าสัตว์

"เพชรฆาต" ชีวิตของคนเรานั้น เกิดมาเพื่อรอวาระสุดท้ายหรือวันตายนั่นเอง เพียงแต่ไม่มีใครหยั่งรู้วันตายของตัวเองได้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด คนเราล้วนหลายอาชีพ บางคนก็สามารถเลือกทำงานได้ แต่บางคนก็ไม่สามารถเลือกทำงานได้ ความจำเป็นในการดำรงชีวิตนั้นบีบบังคับให้ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ แต่ไม่มีทางเลือกจึงต้องทำด้วยภาวะจำยอมเพื่อปากท้องของตัวเองและครอบครัว นายเบิ้มเป็นคนรูปร่างใหญ่ แต่การศึกษาไม่ค่อยสูงนัก เคยเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯมาแล้วแต่ไปไม่ไหว จึงมาประกอบอาชีพเก่าคือ เป็นมือเพชฌฆาตฆ่าหมูเถื่อนเพื่อป้อนให้กับเขียงหมูในตลาด กระทั่งวันหนึ่ง ข้างบ้านจัดงานแต่งงาน ทางเจ้าภาพจะล้มหมูล้มวัว จึงได้ไปบอกกล่าวกับนายเบิ้มเป็นเพชฌฆาตให้ นายเบิ้มไม่ปฏิเสธเพราะเขากับเจ้าภาพคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และที่รับงานนี้ก็ไม่หวังตอบแทนอะไร ปกติแล้วนายเบิ้มจะไปโรงฆ่าสัตว์ตอนตีสอง "เกือบชั่วโมง กับ หมูเจ็ดชีวิต" เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว จากนั้นก็ช่วยลูกมือชำแหละแยกชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ และจะกลับบ้านไม่เกินหกโมงเช้า พร้อมกับเนื้อหมูไปให้ลูกเมียประกอบอาหาร เพื่อนบ้านเขาจะล้มวัวล้มหมูประมาณตีสามตีสี่เพื่อจะให้ทันปรุงอาหารเลี้ยงแขกที่จะมาร่วมงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสิบกว่าปีก็ว่าได้ เพราะเจ้าสาวเป็นลูกกำนัน ส่วนเจ้าบ่าวเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงระดับจังหวัด และพ่อของเจ้าบ่าวก็เป็นนักการเมืองระดับประเทศเป็นส.ส.ติดต่อกันมาแล้วหลายสมัย การล้มหมูล้มวัวก็เพื่อเลี้ยงคนที่มาร่วมงานในตอนเช้าเท่านั้น เพราะในช่วงเย็นจะมีการจัดเลี้ยงแบบโต๊ะจีนที่หอประชุมในตัวจังหวัด โดยมีบุคคลสำคัญๆมาร่วมงานมากมาย จะว่าเป็นงานแต่งครั้งประวัติศาสตร์ของจังหวัดก็คงไม่ผิดนัก แล้ววันสำคัญก็มาถึง นายเบิ้มออกจากบ้านตีหนึ่งกว่า ซึ่งเร็วกว่าปกติเกือบชั่วโมง ตอนนั้นทางโรงฆ่าสัตว์เปิดแล้ว นายเบิ้มก็ลงมือเชือดหมูเคราะห์ร้ายตัวแรกทันที จากนั้นหันไปจัดการตัวอื่นๆ รวมทั้งสิ้นเจ็ดตัว โดยใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง เพราะไม่มีลูกมือช่วยจับโน่นจับนี่ใส่มือให้เหมือนทุกวัน "กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด" ระหว่างนั้นลูกมือที่มีเกือบสิบคนก็เริ่มทยอยมากันบ้างแล้ว และคนของกำนันก็มารอรับที่โรงฆ่าหมูรออยู่แล้วด้วย นายเบิ้มสั่งงานลูกมือเสร็จก็ขึ้นรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านกำนันแม้นทันที ที่นั่นจะครึกครื้นพอสมควรเพราะมีวงเหล้า รวมทั้งเครื่องเสียงที่เปิดเพลงมาตลอดคืน ลูกมือที่กำนันแม้นจัดหาให้ก็นั่งดื่มเหล้ารอมาทั้งคืน นายเบิ้มเริ่มลงมือเชือดหมูเป็นตัวแรกก่อนจะลงมือเชือดวัวสลับกันไป จากนั้นก็บอกลูกมือที่พอจะเป็นอยู่บ้าง ชำแหละแยกชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆโดยแบ่งหน้าที่กันไป ส่วนตัวเองนั่งพักดื่มเหล้าไปพลางๆ เพราะยังมีหมูกับวัวอย่างละตัวให้เชือดอีก นายเบิ้มดื่มเหล้าได้สองสามแก้วก็ลงมือต่อโดยเริ่มฆ่าหมูเช่นเคยเพราะตัวเองถนัด หมูตัวที่สองใช้เวลานานพอสมควร เพราะมันทั้งดิ้นทั้งวิ่งเหมือนจะรู้ตัวว่าถึงวาระสุดท้ายของมันแล้ว กว่าจะจับได้ก็เสียเวลาไปเยอะ แถมยังใช้คนจับมากขึ้นกว่าจะเชือดได้ จนนายเบิ้มเองยังส่ายหน้า เพราะตั้งแต่เป็นมือเพชฌฆาตมาไม่เคยใช้เวลานานถึงนี้เลย หมูเคราะห์ร้ายตัวนั้นกรีดเสียงด้วยความเจ็บปวดอย่างโหยหวน จนบางครั้งถึงกับขนลุก และเสียงร้องของหมูตัวนั้นเองที่ปลุกชาวบ้านให้ลุกก่อนที่ขบวนขันหมากของฝ่ายเจ้าบ่าวจะมาถึงในเวลาเจ็ดโมงเช้า "สะดุดม้านั่งตัวเล็ก มีดได้เสียบทะลุคอ" นายเบิ้มผละจากหมูแล้วเดินไปหาเจ้าวัวหนุ่มเหยื่อสังเวยงานแต่งตัวต่อไปอย่างใจเย็นพร้อมกับมีดแหลมคมกริบอาวุธคู่มือ แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ เมื่อนายเบิ้มเดินไปสะดุดเอาม้านั่งตัวเล็กๆ ที่ใช้นั่งชำแหละเนื้อจนตัวเองเสียหลักล้ม ตัวนายเบิ้มเองถลาเป็นนกปีกหักก่อนที่จะล้มคว่ำลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า และจังหวะนั้นเองที่ปลายมีดได้เสียบทะลุเข้าที่คออย่างจัง โอ๊ยยยย นายเบิ้มร้องเสียงลั่นด้วยความเจ็บปวด มือกำมีดแน่น เพื่อนบ้านที่เป็นลูกมือกว่าสิบคนก็รีบกรูกันเข้าไปหา พอเห็นมีดปักคอของนายเบิ้มเช่นนั้น จึงร้องเอะอะโวยวายจนแตกตื่นไปทั้งคุ้ม นายเบิ้มถูกหามขึ้นท้ายรถกระบะทั้งที่ยังมีมีดปักคออยู่ ระหว่างที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลนั้น นายเบิ้มทั้งดิ้นทั้งร้องด้วยความเจ็บปวดไปตลอดทาง บางครั้งก็กรีดเสียงร้องเสียงแหลมๆเหมือนหมูที่ถูกเชือดคอยังไงยังนั้น สุดท้ายแล้วนายเบิ้มก็ปิดฉากชีวิตของการเป็นมือเพชฌฆาตอย่างน่าสังเวชก่อนจะถึงโรงพยาบาล คุณละคิดยังไงกับเรื่องนี้

ไก่ไร้ขา ทรมาน ทั้งเป็น

ไก่กับชีวิตการเป็นอยู่ ใน ชนบท เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดลำพูนเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาแล้ว ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งแม่น้ำปิง ตามธรรมดาของบ้านเรือนในชนบทสมัยนั้นที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ไว้เพื่อเป็นอาหารและเลี้ยงไว้ขาย โดยเฉพาะไก่ที่ชาวบ้านจะพากันเลี้ยงไว้เกือบทุกครอบครัว และเป็นธรรมดาอีกเหมือนกัน ที่เจ้าไก่เหล่านี้จะซุกซนและชอบบินเข้าไปในครัวหรือในบ้าน เพื่อหาอาหารกินตามสัญชาติญาณ ซึ่งก็นำมาซึ่งความรำคาญ และความน่าปวดหัวสำหรับเจ้าของบ้านที่จะต้องมาคอยไล่มันให้ออกไปให้พ้น ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องคอยเก็บกวาดข้าวของ ที่กระจัดกระจายเพราะพวกมันคุ้ยเขี่ย หรือไม่ก็ต้องคอยเช็ดขี้ของพวกมันที่ชอบถ่ายไว้เรี่ยราด ซึ่งทั้งเหม็นและสกปรก อีเขียวไก่ในบ้าน ต้องออกหาอาหารกิน ให้มากกว่าปกติ เพื่อตุนพลังงาน นางบัวบานก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของหมู่บ้านนั้น นางกำลังท้องแก่เต็มที และเป็นธรรมดาของคนท้องคนใส้ ที่มักจะมีอารมณ์ฉุนเฉียว และขี้โมโหอยู่เสมอ และก็ไม่ต่างจากบ้านอื่นบ้านนางก็เลี้ยงไก่ไว้เช่นกัน และกำลังมีปัญหาอยู่กับอีเขียว ไก่จอมดื้อซึ่งมักจะบินเข้ามาคุ้ยเขี่ย ทำให้ครัวและบ้านเลอะเทอะอยู่เสมอ อีเขียวมันกำลังฟักไข่จึงจำเป็นต้องออกหาอาหารกิน ให้มากกว่าปกติ เพื่อตุนพลังงานไว้สำหรับ การเลี้ยงดูลูกน้อยเกือบสิบชีวิต ที่กำลังจะออกจากไข่มาดูโลกในไม่ช้า นางบัวบานคอยรบคอยไล่เอาล่อเอาเถิดอยู่กับอีเขียวนานพอสมควร จนวันหนึ่งความอดทนของนางก็สิ้นสุด คว้ามีดอีโต้ขึ้นมาแล้วสับลงไปเต็มแรง วันนั้นอีเขียวบินเข้าไปในครัวและคุ้ยเขี่ยจนข้าวของ ตกลงพื้นแตกกระจาย นางบัวบานโมโหมากไล่ไปแป๊บเดียวอีเขียว ก็บินเข้าไปใหม่ จนมีคราวหนึ่งนางขึ้นไปไล่และคว้าขามันไว้ได้โดยบังเอิญ ด้วยความโมโหที่ต้องเหนื่อยไล่มันอยู่นาน นางจึงคว้ามีดอีโต้ขึ้นมาแล้วสับลงไปเต็มแรง อีเขียวร้องอย่างเจ็บปวด และดิ้นทุรนทุราย แต่ก็ไม่สามารถจะวิ่งหนีไปไหนได้ ได้แต่ใช้ร่างแถกไถลไปกับพื้นบ้าน เพื่อหนีเอาตัวรอด เพราะขาทั้งสองข้างของมันถูกนางบัวบานใช้มีดสับขาด และขาที่ขาดของมันทั้งสองข้างตอนนี้อยู่ในมือนางบับาน รอยเลือดเลอะไปทั่วพื้นบ้าน ล้างยังไงก็ล้างไม่หมด " ดี เป็นไงอีเขียว เก่งนักหรือมึงไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป ดูซิไม่มีขาแล้วต่อไปมึงยังจะมีปัญญาเข้ามาคุ้ยเขี่ยในบ้าน ให้มันเลอะเทอะอีกมั๊ย ไปเลยไปดิ้นไกล ๆ กู นี่แนะ " นางใช่ขาเตะใส่อีเขียวจนร่างของมันปลิวตกจากบนเรือน ไปดิ้นกระแด่ว ๆ อย่างน่าสงสารตรงใต้ถุน พร้อมกับขว้างขาทั้งสงข้างของมันลงน้ำปิงไป รอยเลือดอีเขียวที่เลอะไปทั่วพื้นบ้าน ล้างยังไงก็ล้างไม่หมดคงเหลือไว้เป็นรอยจาง ๆ เหมือนกับจะจดจำและตราตรึงสิ่งที่นางได้กระทำกับมันไว้ นางบัวบานเจ็บท้องคลอด หมอตำแยประจำหมู่บ้านถูกตามตัวมาอย่างเร่งด่วน สองเดือนต่อมาวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง กลางดึกของคืนนั้นนางบัวบานก็เจ็บท้องคลอด ทุกคนในบ้านรวมทั้งนางบัวบานต่างรู้สึกตื่นเต้น เพราะนี่เป็นท้องแรกและจะเป็นลูกหลานคนแรกของวงศ์ตระกูล หมอตำแยประจำหมู่บ้านถูกตามตัวมาอย่างเร่งด่วน ภายในบ้านดูชุลมุนวุ่นวายเพระไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้กันมาก่อน เสียงเอะอะโวยวายสับสน ดังระงมไปหมด ´อีบัวบาน ไอ้ศักดิ์ ลูกมึงไม่มีขา" นางบัวบานถูกหมอตำแยพาเข้าไปในห้องแล้ว ทุกคนข้างนอกต่างพากันนิ่งเงียบรอคอยเวลาด้วยใจระทึกจนกระทั่ง "อุแว้ อุแว้ " "เกิดแล้วอี่บัวบานเกิดแล้ว ออกมาและ...แต่..ทำไมทำไมเด็กมันไม่..ไม่มีขา อีบัวบาน ไอ้ศักดิ์ ลูกมึงไม่มีขา " เสียงยายปาหมอตำแยที่ทำคลอดร้องโวยวายอย่างตื่นตระหนก ทุกคนไม่ว่าปู่หรือย่า ตายายและญาติพี่น้องรวมถึงนายศักดิ์ผัวนางบัวบานต่างพากันกรูเข้าไปในห้อง แล้วภาพที่ปรากฏต่อสายตาก็ทำให้ทุคนยืนตะลึง ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด ร่างของทารกน้อยที่อยู่ในมือยายปา เปื้อนไปด้วยเลือดและสายรกยังระโยงไม่ได้ตัด ขาทั้งสองข้างของเด็กสั้นกุดอยู่แค่หัวเข่าเท่านั้น สำหรับนางบัวบาน นางกรีดร้องแล้วสลบไปตั้งแต่วูบแรกที่ร่างของลูกน้อยหลุดพ้นออกมาจากช่องคลอด เผยให้เห็นส่วนอันอัปลักษณ์นั้นแล้ว มรดกกรรม ... ที่หนีไม่พ้น สองปีต่อมา บนชานบ้านนางบัวบานนั่งเอาหลังพิงฝา สายตาเหม่อมองไปยังร่างของลูกน้อย ร่างน้อย ๆ นั้นค่อยไถลไปบนรถเข็นที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความร่าเริง สดใสไร้เดียงสา เสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจเมื่อยามที่เลื่อนรถไล่ตามลูกไก่ตัวเขื่องที่ถือเอาเป็นเพื่อนเล่น นางบัวบานรู้สึกตื้นขึ้นมาอก น้ำตาค่อย ๆ รื้นบนขอบตา ก่อนจะปล่อยมันไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย "ลูกแม่ทำไมหนอทำไมลูกต้องมารับกรรม ที่เจ้าไม่ได้ก่อ แม่ผิดเองบาปเหล่านั้นแม่ก่อขึ้นเอง ไม่น่าเลยไม่น่าเลย แม่ขอโทษลูกแม่ผิดไปแล้ว แม่ผิดไปแล้วแม่ขอโทษ แม่ขอโทษ " เสียงพร่ำคร่ำครวญนั้นค่อย ๆ ขาดหายไปในคอ นางฟุบหน้าลงกับเข่า ร้องให้สะอึกสะอื้นเหมือนกับว่าจะขาดใจไปตรงนั้น หยุดคิดสักนิดก่อนที่จะกระทำบาปอันหนานั้น ที่ใต้ถุนบ้าน ร่างของอีเขียวซึ่งตอนนี้กลายเป็นแม่ไก่ที่ชรามากแล้ว ค่อย ๆ กระพือปีก และไถลร่างไปตามพื้นดิน พลางใช้ปากจิกคุ้ยลงไปบนพื้นอย่างลำบากเพื่อหาอาหาร อีกไม่นานหรอกอีกไม่นานชีวิตมันคงจะสิ้นสุด หลุดพ้นซึ่งความทรมานเสียที แต่ร่างที่กำลังไถลร่าเริง อยู่ข้างบนสิ อีกยาวนานนักที่ต้องลำบากทนทรมาน และชดใช้เวรกรรมที่เขาไม่ได้ก่อ แต่มันเป็นมรดกตกทอด เป็นมรดกกรรมที่เขาเองคงไม่อยากรับ และไม่น่าต้องมารับและสืบทอดอย่างนี้เลย หากมารดาของเขาจะหยุดคิดสักนิดก่อนที่จะกระทำบาปอันหนานั้น คิดสักนิดว่าถ้ามันฉลาด และประเสริฐจริงมันก็คงไม่ต้องเกิดมาเป็นไก่อย่างนั้น มันเป็นเพียงสัตว์เดียรัจฉาน ที่ต้องหากินเพื่อการมีชีวิตรอดตามสัญชาตญาณเท่านั้นเอง

วิญญาน เด็กถูก ทำแท้ง

ขอเล่าเรื่องนี้เป็นวิทยาทานกับหลาย ๆ คน ที่เคยทำ... ขอปกปิดชื่อ-นาม จ.ที่อยู่...กรูณาอย่านำชื่อฉันไปเปิดเผย.. เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อตอนฉันอายุได้ 20 ได้เกิดสิ่งผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต 1 เรื่องคือ การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้ 1 เดือนครึ่ง และจบลงด้วยการไปเอาเค้าออก ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่เค้าออกมา เป็นเพียงก้อนเลือดกลมๆ เล็กกว่ากำปั้น ครื่งต่อครึ่ง ด้วยความเวทนาทั้งตัวฉันเอง และชีวิตของเค้า ฉันก็นำเค้าห่อกระดาษ เพียง 1 แผ่น แล้วนำไปทิ้งถังขยะ ซึ่งตอนนั้นฉันอยู่ที่ต่างจังหวัด ช่วงบ่าย ฉันก็เดินทางกลับมายัง จังหวัดที่ฉันอยู่ 1-2 อาทิตย์ต่อมา มีรุ่นพี่ที่ชอบพอฉัน ชวนฉันไปกินข้าวในร้านค้อนข้างหรู ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรกับฉัน ว่าฉันไปทำอะไรมา เมื่อนั่งทานข้าวได้ซักพัก ฉันแทบน้ำตาร่วง นั่งนิ่งไปชั่วขณะ เพราะขณะที่นั่งกินข้าว+ฟังเพลงกันอยู่นั้น แมวดำมาจากไหนไม่รู้ กระโดดมาที่โต๊ะฉัน มันจ้องหน้าฉันแล้วร้อง แบบเอาเป็นเอาตาย รุ่นพี่ที่นั่งกับฉัน เค้าก็พยายามไล่มันไป ซักพักมันก็ไปของมันดื้อๆ ทุกคนในร้านงงมาก แต่ลึกๆ ในใจฉันพอจะเดาได้ว่ามันคืออะไร พอฉันกลับห้องพักก็กลับมานอน แล้วฉันก็ฝัน ฝันว่ามีเด็กผู้ชายคนนึ่ง เค้าคลานออกมาจากถังขยะเนื้อตัวมอมแมม และพยายามจะมาหาฉัน แล้วก็สะดุ้งตื่น ซึ่งก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะฉันตัวคนเดียว 2-3 วันต่อมา ฉันได้รับโทรศัพท์จากเพื่อน เล่าให้ฉันฟังว่า..ฝันเห็นเด็กผู้ชายคลานออกจากถังขยะสีเขียวไปหาเค้าแล้วบอกกับเค้าในฝันว่าเป็นลูกของฉัน.... ฉันพูดอะไรไม่ออกเพราะฉันไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ว่าสีของถังขยะสีอะไร แล้วมันก็ตรงอย่างที่เพื่อนบอก ฉันทำบุญ ถวายสังฆทาน กรวดน้ำ ให้เค้าตลอด โดยบอกเค้าว่า..ตัวน้อย..มารับส่วนบุญ และกล่าวขอโทษ เชื่อมั๊ยว่าฉันดวงตกมาโดยตลอด ของมีค่าหาย ตกงาน สารพัด และมีครั้งหนึ่งฉันได้ไปดูหมอดูไพ่ยิ๊ปซี พอฉันเปิดไพ่ สิ่งที่หมอทักคือ เคยมีการสูญเสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจในอดีต... ฉันจึงถามกลับไปว่าคืออะไร.. หมอดูตอบฉันว่า ฉันมีดวงวิญญาณเด็กคอยตามฉันอยู่ เป็นเด็กผู้ชายตายจากการทำแท้ง... เด็กเค้าบริสุทธิ์มาก ๆ.. ความรู้สึกมันแปล๊บ...ขึ้นมาในใจ หมอดูยังบอกว่า ที่ฉันเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เพราะเด็กแค้นฉัน เด็กเค้าไม่รู้เรื่อง แต่เป็นเพราะเวรกรรม ที่เราได้ทำกับชีวิตเค้าไว้.. ก็น่าจะจริงเพราะเด็กในฝันไม่มีที่ท่าว่าจะแค้นฉัน หรือเกลียดฉันแต้่อย่างใดและพยายามจะเข้ามาหาฉันตลอด จนครั้งสุดท้ายฉันได้ฝันว่า ฉันเดินไปในป่า โดยมีเด็กชายเดินตามไป และฉันก็ได้เจอพระสงฆ์รูปหนึ่ง ฉันเข้าไปกราบแล้วท่านก็บอกฉันว่า เด็กคนนี้เค้าตั้งใจจะมาอยู่กับฉัน ต่อให้ฉันไล่เค้า ทำอย่างไรกับเค้า เค้าก็จะไม่ไปไหน และจะรอมาอยู่กับฉัน...หลังจากนั้นฉันก็ไม่ฝันอีก เหมือนกับว่าฉันรู้ถึงความต้องการของเขาแล้ว และชีวิตฉันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทางกลับกัน คนที่เป็นพ่อเขาในอดีต ที่ไม่ยอมรับในตัวฉันกับชีวิตน้อยๆ ชีวิตเค้ากลับตกต่ำลงเรื่อยๆ เพราะมีคนพบเห็นแล้วมาเล่าให้ฟัง และฉันเคยบอกกับเด็กน้อยของฉันว่าหากเมื่อใดที่แม่พร้อม กลับมาอยู่กลับแม่ใหม่นะลูก... ซึ่งนี้ตอนฐานะของฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มีพร้อมทั้ง หน้าที่การงาน,รถ,ครอบคัว ขาดก็แต่บ้าน... แต่ฉันก็พร้อมที่จะให้เขาได้เกิดอีกครั้ง และมีความสุขสบายมอบให้เค้าเมื่อเค้ากลับมา.....

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

เครียดเพราะหนี้

คำเตือน... ท่านที่อ่าน ท่านที่รับฟังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ต้อง...ต้อง...อ่าน จน จบ มิฉะนั้น.......ห้าม อ่าน โดยเด็ดขาด วันก่อนนี้...17 สิงหาคม 54 คุณบัณฑิต ปิ่นมงคลกุล...ผู้ดำเนินรายการ ธรรมะ บันดาลใจ ชวนผมไปบันทึกเทปรายการ เป็นตอนที่ 6 เรื่องที่คุยกันในรายการ ก็เน้นไปเกี่ยวกับ...หนี้ ต้นเหตุของหนี้ ความทุกข์ระทม ความเครียด ไปจนถึงจุดที่ผมรับไม่ไหว ตัดสินใจ...ผูกคอตาย ทำให้ผมมานึกได้ว่า ที่เคยเล่าไปในตอน...กรรมทันตา ผูกคอตาย ยังมีบางอย่างที่คนฟัง คนอ่านอาจเข้าใจในสิ่งที่ผมจะสื่อผิดไปบ้าง เลยอยากเล่าขยายเพิ่มซะหน่อย ครับ ในตอนนั้น ผมค้าขายรถยนต์มือสอง ธุรกิจนี้น่ะมันไม่ผิดหรอก แต่ผมเองที่ทำตัวชั่วเลว ผิดศีลธรรม ย้อมแมว โกหกหลอกลวง ทำธุรกิจแบบกะล่อนปลิ้นปล้อนสารพัด บาปกรรม ก็เลยตามสนองผมอย่างเต็มที่ เงินทองที่ได้มา...เป็นเงินร้อน หาได้มากเท่าไหร่ก็หมดไปอย่างไม่เข้าเรื่อง ฟุ้งเฟ้อใช้ชีวิตอย่างประมาท ทำตัวเป็นเสี่ยหนุ่ม เสื้อผ้าเบรนเนม นาฬิกาต้องโรเล็กซ์ ปากกาดูป๊องค์ กินอยู่อย่างลืมตัว บวกกับเงินลงทุนที่มีมาน้อย แต่ตะบันกู้...เยอะ ทั้งๆ ที่เรียนด้านบริหารธุรกิจโดยตรง แต่ค้าขายไม่เป็น ไม่สามารถเอาความรู้ที่เล่าเรียนมาอย่างดี ปรับใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ ผิดพลาดไปหมดทุกเรื่อง เริ่มตั้งแต่ค่าเช่าสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโฆษณา เงินเดือนพนักงานลูกน้อง หนักที่สุดก็...ดอกเบี้ยเงินกู้...สมัยนั้นแค่ร้อยละ 2 บาท 3 บาท ต่อเดือนยังแย่ พอเงินไม่พอก็ไปแลกเช็คกู้มาเพิ่มอีก เอาหนี้ใหม่ที่ใหญ่กว่าไปโปะหนี้เก่า พอถึงเวลาจ่ายหาไม่ทัน ก็ไปกู้มากขึ้นไปอีก แล้วก็กู้มากขึ้น...มากขึ้น...อีก กู้อันนี้โปะอันโน้น หมุนอุตลุตจนมึนตึ๊บ.บ.. ขนาดต้องขายบ้านที่พ่อแม่ของผมให้มาไปหลังหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่พอ ต่อมาก็ต้องขายที่ดินแปลงสวยๆ ที่พ่อตา แม่ยายให้ภรรยาผมไปอีก ขายแต่ละครั้งก็ไม่ได้ราคา เพราะรีบร้อนขาย...มันจวนตัว ขนาดว่าไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ไม่เล่นการพนัน ไม่เที่ยวกลางคืน อย่างที่บอก บาปกรรมทำไว้เยอะมาก ต้องไปนอนในตะราง ที่โรงพัก และคุกคลองเปรม มาแล้ว คนที่น่าสงสาร ต้องมาทุกข์แสนสาหัสกับผมด้วยก็คือ...คุณหม่อง ภรรยาของผม ในตอนที่เริ่มธุรกิจ ผมคิดเอง ลุยเองไม่ฟังเสียงใคร ภรรยาก็คอยทักท้วง คอยเบรก แต่ผมมันดื้อถือดีไม่ยอมฟัง จนเค้าระอาไม่อยากยุ่ง แต่พอปัญหามันสะสมมากขึ้น...มากขึ้น ความเครียดก็มากตามไปด้วย เริ่มนอนไม่หลับ กินไม่ได้ หงุดหงิดพาลหาเรื่อง เริ่มมีปากเสียงกันบ้าง จนหนักๆ ขึ้นก็ทะเลาะกัน...ผมนี่แหละหาเรื่องเค้าก่อนทุกที ที่แย่ที่สุดคือ...ความละอาย อายลูก อายเมีย เรานี่มันตัวล้างผลาญ เรามันห่วย มันแย่ ละอายที่ทำตัวเป็นพวกต้มตุ๋น หมดความภูมิใจในตัวเอง ละอายที่ทำให้ครอบครัวลำบาก พอเริ่มผิดนัดชำระ เจ้าหนี้ก็ตามทวงสารพัด โทร.จิก โทร.ด่า มาตามทวงที่ออฟฟิซ ทวงที่บ้าน ภรรยาก็หน้าเสีย หน้าดำทุกวัน พอหมุนเงินไม่ทันจริงๆ ผมถูกจับคดีเช็คเด้ง คุณหม่อง ก็ต้องวิ่งเต้นประกันตัวออกมา...อย่างยากเย็น และเหนื่อยใจ ไม่ใช่ครั้งเดียวนะครับ ถูกจับขณะที่ยังอุ้มลูกก็เคยมาแล้ว ละอายมากๆ เข้าก็ไม่อยากอยู่ให้ครอบครัวต้องมาทนลำบากเพราะเราอีกแล้ว ความเครียดมันรุมเร้า สุขภาพก็เริ่มแย่ ปวดตามข้อ ปวดตามกระดูก ร่างกายมันหลั่งกรดยูลิคออกมาจนกลายเป็นโรคเก๊าท์ เจ็บปวดทรมานทุกครั้งที่ขยับตัว ความทุกข์ทรมานที่มากจนอธิบายยังไงก็คงไม่เข้าใจ ทุกข์กายน่ะพอรับสภาพได้ แต่ทุกข์ใจนี่สิ...สุดแสน มันเหมือนน้ำที่ถูกตั้งไฟ...ค่อยๆ ร้อนขึ้น ร้อนขึ้น ร้อนขึ้นทีละนิด ร้อนรนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่ง...ตื่นเช้ามาก็เหมือนเดิม โทรศัพท์ดังขึ้นผมก็หน้าเสีย พอรับสายเสียงเจ้าหนี้ด่ามาอุตลุด ภรรยาก็เดาได้ว่าอะไรเกิดขึ้น...ผมฟิวส์ขาด สติอารมณ์มันพังทลาย หันไปทะเลาะกับคุณหม่อง ทันที เธอก็คงจะสุดแสนจะทุกข์เหมือนกัน น้ำตาร่วงเป็นสาย...เดินหนีไป เท่านั้นแหละ ละอายใจอย่างที่สุด อารมณ์ของผมก็ถึงจุดระเบิด ตะโกนไล่หลังภรรยาไปว่า... ถ้าไม่มีฉันซะคนคงจะดีกว่านี้... แล้วก็คว้าเชือกไนล่อนเส้นขนาดนิ้วก้อย วิ่งไปที่ดาดฟ้า ...ผูกคอตาย... แปลกนะ มันไม่เจ็บ ไม่ปวดซักนิด...มันวูบ.บ..บ....ไปเลย โชคยังดีอย่างมหาศาล วันนั้นพี่สาวกับพี่เขยของคุณหม่อง มาค้างที่บ้านด้วย พี่เขยวิ่งขึ้นไปช่วยได้ทันอย่างหวุดหวิด เขาบอกว่า... ได้ยินเสียงทะเลาะกันก็เอะใจ วิ่งขึ้นไปก็เห็น...ห้อยต่องแต่งอยู่แล้ว พอฟื้นขึ้นมา เห็นภรรยานั่งร้องให้ไม่พูดไม่จา...มีแต่แววตาเท่านั้น ที่บอกทุกอย่าง ทั้งตกใจ หวาดหวั่น...ทั้งเสียใจที่ผมคิดโง่ ๆ คิดสั้น ๆ และทั้งดีใจอย่างที่สุด...ที่ผมยังไม่ตาย หลังจากนอนไม่พูดไม่จาอยู่ครึ่งวัน ภรรยาก็เข้ามาคุยด้วย มาปลอบใจ...มาบอกให้สู้ บอกให้ค่อยๆ คิดกันนะ เราสองคนต้องช่วยกันนะ ส่วนผมน่ะ...พอเฉียดผ่านเส้นยาแดงของความตายมาได้ สภาพจิตใจก็เปลี่ยนไป จากที่ท้อแท้ หมดแรงหมดอาลัยตายอยาก กลายเป็นเหี้ยมเกรียมขึ้น ไม่ได้นึกเกรงกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ หรือวันต่อๆ ไปอีกแล้ว ความตายมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยนึกไว้ มันแค่นิ๊ด.ด..เดียวเอง ระหว่างความเป็นกับความตาย แค่นี้เอง จริง จริง... แล้วถ้าอย่างนั้นจะกลัวอะไรอีกล่ะ ที่ผ่านมามัวแต่กลัว มันแต่เครียด ต่อไปนี้ จะต่อสู้กับชีวิตให้ถึงที่สุด...ของที่สุด รุ่งขึ้นอีกวัน ผมไปหาเจ้าหนี้ทุกราย ไปเล่าให้ฟังว่า...เมื่อวานนี้ผมผูกคอตายแล้ว แต่ดันมีคนมาช่วยไว้ แล้วก็เปิดให้ดูรอยเชือกที่รอบคอ ซึ่งรอยเชือกนี้อยู่ไปเกือบ 10 วันแน่ะ เจ้าหนี้ตกใจทุกคน กลัวผมตาย กลัวหนี้สูญ บอกให้ผมใจเย็นๆ ยอมผ่อนผันยืดระยะเวลาให้ หลังจากนั้นผมกับภรรยา ก็หันมาคุยกันทุกเรื่อง ทุกความผิดพลาด หาวิธีใช้หนี้ด้วยทั้งแบบที่เป็น วิทยาศาสตร์ และไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไอ้ที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง แต่ที่ไม่ใช่น่ะ ขอให้ท่านที่เป็นแฟนใหม่ไปหาอ่านจากเรื่อง ...กรรมทันตา แรงฤทธิ์อธิษฐาน...ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากผ่านไปไม่นาน และเรื่อง...กรรมทันตา อธิษฐานหนีกรรม...ซึ่งเกิดขึ้นต่อมา วิธีการเอาชนะหนี้ของผมแบบที่เป็น วิทยาศาสตร์ คือ หลังจากคุยปรึกษากันอย่างเข้าอกเข้าใจดีแล้ว ได้หนังสือของ อ.สุวรรณ วลัยเสถียร ท่านบอก ต้องเอาทุกอย่างลงกระดาษ...เขียนออกมาให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม ฝั่งซ้าย เป็นทรัพย์สินที่มี บ้าน รถ ถ้าขายตอนนี้จะได้ราคาเท่าไหร่เอาให้แน่ รายได้ที่มีอยู่ วันละเท่าไหร่ เดือนละเท่าไหร่ เอาให้ชัด ฝั่งขวา เป็นรายจ่ายที่มีทุกอย่าง น้ำ ไฟ โทรศัพท์ ค่าผ่อนค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเสื้อผ้า อาหารแต่ละวัน แต่ละเดือน เอาให้ละเอียดยิบ ที่สำคัญ...หนี้สินที่มีทั้งหมด ขอย้ำทั้งหมด มีเท่าไหร่อะไรบ้าง ทั้งเงินกู้ ทั้งบัตรเครดิต มีกี่เจ้า กี่ใบ จดให้ละเอียด ลงลึกถึงช่วงเวลาที่ต้องจ่าย เจ้าไหนต้องจ่ายวันไหน จ่ายครั้งละเท่าไหร่ เรียงวัน มาให้เห็นเด่นชัด...ห้ามหมกเม็ดโดยเด็ดขาด ขอบอกว่า ถ้าอยากหมดหนี้ก็ต้องทำนะครับ ตอนที่เขียนออกมาน่ะ...มันเจ็บปวดดีพึลึก เขียนไปเจ็บไป โปรดฟังอีกครั้ง...ถ้าอยากหมดหนี้ ก็ต้องเขียนออกมาให้หมด ถ้าคุณยอมเขียนทุกอย่างออกมา อีทีนี้ก็จะมองเห็นแล้วว่าจะเอายังไงต่อกันดี คุณจะยอมมั้ย ถ้าหมดหนี้หมดสิน แต่...ไม่เหลืออะไรเลย แล้วมาเริ่มต้นชีวิตใหม่...เอามั๊ย อ.สุวรรณ ท่านบอกให้หาเงินก้อนไปตัดหนี้ที่ร้ายแรงที่สุดก่อน หนี้ที่ดอกแพง ดอกโหดที่สุดก่อน ห้ามไปกู้นอกระบบมาอีกโดยเด็ดขาด ให้หันไปกู้จากธนาคารแล้วผ่อนอย่างเป็นระบบ ยืดเวลาการผ่อนให้ได้ยาวที่สุด เพื่อให้จำนวนเงินค่างวดมันไม่มากเกินไป ไม่เกินจะรับไหว แต่ถ้าหากู้ธนาคารไม่ได้ ก็ไม่ต้องกู้...ขายทรัพย์สินที่มีอยู่ทิ้งซะให้หมด บ้านที่ผ่อนอยู่ ก็ขายแล้วไปหาเช่าซะก็ได้ รถที่ผ่อนจนหูตูบก็ขาย แล้วนั่งแท๊กซี่ หรือซื้อมอเตอร์ไซค์มือสองมาแทน ไม่ต้องสนใจใครหน้าไหนจะมอง จะนินทาเรายังไง เพราะทุกวันนี้โดนทวงหนี้จนชาวบ้านเขาก็รู้กันหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องอายแล้ว ถ้ายังทนทู่ซี้ต่อไป ก็ไม่วายต้องถูกฟ้องยึดบ้าน ยึดรถอยู่ดีแหละ ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้ว...รีบขายทิ้งซะก่อนดีกว่า คุยปรึกษา เล่าทุกอย่างให้ลูก ให้เมียเข้าใจและรับสภาพให้ได้ คนเราเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน...วันนี้หมด พรุ่งนี้ก็หาใหม่ได้ ถ้าคุณทำอย่างที่ผมบอก ทุกอย่างก็จะเบาขึ้น อ้อ...สำหรับคนที่เขียนออกมาแล้ว ไปไม่รอด ไม่มีทรัพย์สินอะไรจะขายแล้ว แถมเจ้าหนี้ก็เร่งเร้าอย่างทารุณ คำแนะนำสำหรับผม คือ...หยุดจ่าย บอกให้ท่านเจ้าหนี้ไปฟ้องเอา ประนอมหนี้ที่ศาล...ดอกเบี้ยถูกกว่ามากมายก่ายกอง คนที่เป็นข้าราชการ เจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับยึดเงินเดือนเราได้แม้แต่บาทเดียว แต่ที่ไม่ใช่ข้าราชการ ถึงที่สุดแล้วศาลท่านจะให้หักเงินเดือนไม่เกิน 30 เปอร์เชนต์...แค่นั้น ส่วนท่านที่เป็นนักธุรกิจ ถึงแม้จะถูกฟ้องล้มละลายก็ช่างมันเหอะ มีเศรษฐีพันล้านถูกล้มละลายเยอะแยะไป ไม่ต้องอายใคร ทุกวันนี้มองไปรอบ ๆ ขอถามหน่อยเหอะ...คนที่ไม่เป็นหนี้ มีสักกี่คน หรือคนที่ไม่ไหวแล้ว ไม่รอดแล้ว เจ้าหนี้โหดร้ายมาก แนะนำให้...หนี...หนีไปไกลๆ หนีไปตั้งหลัก ไม่ได้ให้โกงเค้านะครับ ไปตั้งหลักหาเงินได้แล้วค่อยเอามาใช้ เขียนมายาวเกินไปแล้ว ขอต่อตอนหน้านะครับ ต้องตามมาอ่านให้ครบ ห้ามพลาดเด็ดขาด อนณ 089-995-9377 tobeteam@yahoo.com

ฟังเรื่อง เล่ากฏแห่งกรรม เรื่อง หมอชะลอ ศิษย์หลวงพ่อจรัล

ฟังเรื่อง เล่ากฏแห่งกรรม เรื่อง หมอชะลอ ศิษย์หลวงพ่อจรัล ฟังยังไม่จบ ใครมีเนื้อเรื่อง นำมาโพสต์ให้อ่านบ้างครับ เสริร์ชไม่เจอครับ กรรมเก่าที่ติดตามส่งผลในชาตินี้..คุณหมอชลอ เกิดสุวรรณ เรื่องนี้ได้มาจากท่านพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี) เป็นผู้เล่าให้ฟัง มีใจความว่า “มีชายคนหนึ่งสนใจศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน ได้ไปปฏิบัติวิปัสสนาที่วัดอัมพวันกับท่านพระธรรมสิงหบุราจารย์ ชายผู้นี้อดีตเคยเป็นทหารเสนารักษ์ เป็นคนใจดีมีเมตตาช่วยเหลือชาวบ้านเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยโดยมิได้รังเกียจ ชาวบ้านทั่วไปรักและนับถือ เรียกท่านว่า “คุณหมอชลอ เกิดสุวรรณ” ตั้งบ้านเรือนอยู่ข้างวัดอัมพวัน หมอชลอเป็นผู้ที่สนใจฝึกสมาธิและวิปัสสนามาก ใช้เวลาฝึกวันละหลายชั่วโมงเป็นประจำจนสำเร็จได้ฌานชั้นสูง วันหนึ่งขณะที่คุณหมอชลอกำลังฝึกตามปกติ ก็บังเกิดนิมิตปรากฏภาพในอดีตชาติให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ครั้งหนึ่งในอดีตชาติ เมื่อหมอชลอมีอายุได้ ๑๖ - ๑๗ ปี ได้ร่วมไปกับพี่ชายและเพื่อนของพี่ชายเข้าปล้นบ้านๆหนึ่งในหมู่บ้านม่องร่าย ใกล้น้ำตกเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี พี่ชายยิงเจ้าของบ้านตาย ส่วนหมอชลอยิงภรรยาที่เพิ่งคลอดลูกตาย แล้วโยนเด็กที่คลอดใหม่ๆลงไปในกองไฟใต้กระดานอยู่ไฟที่ภรรยาเจ้าของบ้านนอน พักฟื้นอยู่ ปรากฏว่ากรรมอันเป็นบาปหนักนี้ เป็นเหตุให้หมอชลอและพี่ชายต้องรับใช้หนี้กรรรมชั่วนี้ โดยถูกพวกปล้นยิงตายทั้งสองคนที่หมู่บ้านตำบลม่องร่าย จังหวัดกาญจนบุรี ในระหว่างที่ไปทำการค้าไม้ไผ่อยู่ที่นั่น หลวงพ่อจรัญท่านเล่าว่า ท่านได้ตักเตือนไม่ให้หมอชลอไปทำการค้าไม้ไผ่ที่กาญจนบุรี เพราะเกรงว่าจะถูกทำร้ายอันเกิดจากกรรมเก่าในอดีตชาติตามมาส่งผล แต่หมอชลอไม่ยอมเชื่อ เพราะเวลานั้นไม้ไผ่กำลังเป็นสินค้าที่ส่งไปขายต่างประเทศได้ราคาดี มีกำไรมาก แต่ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้น เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นไปตามที่หลวงพ่อจรัญท่านเตือนหมอชลอไว้ล่วงหน้า หมอชลอถูกคนร้ายยิงตาย หลังจากพี่ชายถูกยิงตายเพียง ๑๕ วัน เหตุเกิดในเวลากลางวัน มีคนแต่งเครื่องแบบสีกากีคล้ายตำรวจมีปืนพร้อม มีจำนวน ๑๐ กว่าคน มาทางเรือหางยาวและจอดที่ท่าน้ำหน้าบ้านหมอชลอ แล้วเรียกหมอชลอให้ออกจากบ้านไปพบที่ท่าน้ำ หมอชลอเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำการสอบสวนเรื่องที่พี่ชายถูก พวกปล้นยิงตาย จึงเดินไปที่ท่าน้ำ เมื่อยืนคุยกันสักครู่หนึ่ง ภรรยาหมอชลอซึ่งอยู่บนบ้านเห็นหมอชลอหันหลังจะกลับจากท่าน้ำเข้าบ้าน ก็ถูกคนร้ายคนหนึ่งที่อยู่ในเรือใกล้หมอชลอ ยกปืนขึ้นจ่อยิงท้ายทอยหมอชลอล้มกลิ้งตกท่าน้ำขาดใจตายทันที เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๔ เรื่องของหมอชลอแสดงให้เห็นว่ากฎแห่งกรรมมีจริง และเป็นสัจจธรรมที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ถ้าอดีตชาติทำบาปไว้หนักมาก ผลกรรมนั้นต้องตามสนองในชาตินี้แน่นอน แม้ว่าชาตินี้จะปฏิบัติธรรมได้ดีเพียงไร ก็ย่อมหนีกรรมในอดีตชาติไม่พ้น ต้องชดใช้กรรมชั่วนั้นจนได้ ที่มา - เรื่อง “อดีตชาติ” เรื่องที่ ๑๐๔ ในชุด “กฎแห่งกรรม” ของคุณ ท. เลียงพิบูลย์ คือฟังเล่าในรายการ RDN ยาวมากครับตั้ง 30 นาีที แต่ที่ได้อ่านสั้นมากครับ ..เราทุกคนเจริญกระกรรมฐานต้องพบกรรมแน่ ขอให้ทำให้ได้ขั้น อย่าทำเป็นญาณเบื่อหน่าย อาตมาเป็นห่วงโยม อาตมาไม่เป็นอะไรหรอก แต่จะทำเป็นเพื่อนกันไป อาตมาเคยเข้าผลสมาบัติมาหลายครั้งแล้ว ไม่ใช่นิโรธสมาธิ นิโรธสมาบัติต้อง ๗ วัน มันคนละอย่าง เราแค่ผลสมาบัติเบื้องต้นก็ได้หลายชั่วโมง แต่อาจจะเข้าทีละ ๑๐-๒๐ นาทีได้คือ ไม่รู้เรื่องในกาลนั้นๆ รู้ข้างในแต่ไม่รู้ข้างนอก อาตมถึงได้เป็นห่วงโยมคือ สภาวธรรมนี่สำคัญมาก และคนเบื่อหน่ายอยากจะเลิก ข้อเท็จจริงจะถึงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว เลิกแล้วจึงไม่ได้อะไรเลย ต้องอดทนต่อไป ตายให้มันตาย มันมีอะไรมา คือมากระซิบตลอด มารคือตัวเรา อยู่ในตัวเรา ให้เลิก ไม่ควรทำอย่างนี้เป็นต้น ...เพราะฉะนั้น หมอชลอคู่กับแม่สุ่ม ทองยิ่ง อาตมาสอนแม่สุ่มตอนอายุ ๓๘ ปี พายเรือมา เมื่อสมัยนั้นไม่มีความเจริญ มีเรือเดินแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนนั้น ผ.อ.เมือง บุตรชายแม่สุ่ม ยังเป็นเด็กนักเรียน เมื่อสมัย พ.ศ. ๒๔๙๓-๒๔๙๔ สอนมาตลอด เขาก็ระลึกชาติของเขาได้ หมอชลอก็ระลึกว่า ได้ไปฆ่าเขาที่น้ำตกเอราวัณ รูปร่างแบบนั้น น้ำตกเขาเอราวัณยังไม่มีอะไร ไปปล้นเขา พี่ชายฆ่าสามีเขาตายคาบันไดเลย ตัวเองก็ระลึกเหตุการณ์ว่าเป็นลูกมอญ ที่ราชบุรี หนีพ่อแม่ไปที่น้ำตกเอราวัณ ตัวเองก็ระลึกชาติได้ตอนนั่งเจริญพระกรรมฐาน แล้วก็ลืมไปแล้ว อาตมายังจดไว้ทุกวันนี้คู่กับโยมสุ่ม ตรงที่ไปปล้นเขามา แล้วเขาก็ต้องฆ่าหมอชลอในน้ำเลย ตายคาที่ คาบันไดบ้านหลังนั้น ...นี่แหละท่านทั้งหลาย ระลึกชาติได้แล้วต้องตาย ไม่ใช่หมายความว่าเราได้พระกรรมฐานแล้วไม่โดนฆ่าตาย ถ้าเราไปฆ่าเขามา เขาต้องฆ่าเราตายแน่นอน อย่าลืมกฎแห่งกรรม นับประสาพระโมคคัลลานะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังโดนฆ่าตาย เห็นไหม ทุบกระดูกแตกหมดเลย แล้วพระโมคคัลลานะสำรวมต่อกระดูก เขาเรียกว่า โมคคัลลานะต่อกระดูก คาถานี้ใช้สำหรับต่อกระดูกคนได้ ต่อกระดูกเสร็จแล้ว อีกภาพหนึ่งก็ให้โจรทุบไป ภาพจริงก็ไปพบพระพุทธเจ้าแล้วทูลลาเข้าสู่นิพพาน พระพุทธเจ้ารู้ว่าเป็นเวรกรรมก็ต้องให้เข้าสู่นิพพานคือ พ่อมาตามฆ่า ...นี่แหละพระกรรมฐาน เราทำจะเห็นกรรม แล้วจะรู้ว่าเราเคยระลึกอะไรบ้าง บางคนทำไปร้องไห้ไปด้วย ขอให้ทำให้เข้าถึงขั้น บางทีทำนิดหน่อยจะไปรู้เรื่องอะไรเล่า อาตมาถึงเป็นห่วงโยม โยมไม่ต้องห่วงอาตมาหรอก อาตมาทำได้มานานแล้ว ตั้งแต่เดินทางไปพม่า รามัญ ไม่อย่างนั้นช้างเหยียบตายแล้ว หลวงพ่อดำที่ขอนแก่นท่านช่วยอาตมามากมาย ยืนหนอ ๕ ครั้งก็ได้ ตั้งแต่ศีรษะท่านบอกตจปัญจกกรรมฐาน ทำให้ได้ ๕ ครั้ง ...เดินจงกรม บางคนขาดสติยังไม่พอ อาตมายังเดินเซเลย เพราะเหนื่อย งานมาก เดินจงกรมเดินช้าๆ เซ ถ้าเดินไวไม่เป็นไร พอขวาย่างหนอ มันคอยอยากจะล้มไปทางโน้น โคลงไปทางนี้ ตั้งสติเข้าไว้เดี๋ยวมันก็หาย กำหนดรู้ไว้ วันนี้เดินยังโคลงเลย ไม่ใช่ว่าทำได้แล้วต้องได้ ไม่ใช่ บางทีเดินโคลง อาตมาอายุมากแล้ว บางทีงานมันมาก กังวลงานเยอะ เดินไปจิตมันก็ส่ายไปทางโน้น ส่ายไปทางนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ให้ตัดปลิโพธกังวลเสีย มีงานที่ต้องทำที่กุฏิ จะไปสรงน้ำก็ใช้เวลา ถ้าเราไม่มีสติก็แย่ ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ลำบากมาก ก็ขอฝากไว้ ...หมอชลอต้องไปโดนฆ่าตาย ฆ่าแล้วทำศพเผาตรงนั้น เอากระดูกมา แม่ทองใบผู้เป็นภรรยาก็มาร้องไห้ ช่วงที่ทำบุญให้หมอชลอ ที่บ้านต้องกลายเป็นทำศพให้ด้วย เขาเรียกว่าบ้านแตกสาแหรกขาด ตายโหง ตายห่า ภรรยาต้องตายห่าเพราะไปฆ่าภรรยาเขา แม่ทองใบที่พากันไปทำไร่ จับไม้รวกล่องแก่ง จังหวัดกาญจนบุรี พอสวดมนต์ให้หมอชลอ เอากระดูกมาห่อ คนนั้นมาถามบ้าง คนนี้มาถามบ้าง ว่าหมอชลอเป็นอย่างไร พูดจนเส้นประสาทแตก เพราะคิดถึงความหลังที่ผ่านมา ไม่น่าพากันไปตายโหงเลย ...แม่ทองใบเลือดออกทางปาก ทางหู ทางตา ทั้งๆ ที่จะทำบุญวันพรุ่งนี้แล้ว ตายคาที่เลย เขาเรียกตายโหง ตายห่า บ้านแตกสาแหรกขาด นี่เป็นกฎแห่งกรรม อาตมาไม่ได้ไปงาน แม่ทองใบเขามานิมนต์ บอกไม่ได้ไปหรอกนะ เพราะแม่ทองใบตายเสียวันนี้ จึงสั่งบอกให้เผาศพ ตายบ่ายเผาเย็นเลย ไปเผาวัดปากน้ำ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ...นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย เวรกรรมตามสนอง เรื่องนี้ให้ชื่อว่า บ้านแตกสาแหรกขาด ตายโหง ตายห่า สามีตายโหง ภรรยาตายห่า ตายห่านี้แปลว่าเลือดแตกหมด ใครมาถาม เล่าแล้วก็ร้องไห้ คิดแต่เรื่องเศร้าใจ แม่ทองใบไม่เคยเจริญพระกรรมฐาน ไม่มีสติเลยเส้นประสาทแตก ตามหลักพระพุทธเจ้าสอนเรียกว่า หายห่า สามีตายโหง ภรรยาตายห่า ลูกเต้าซัดเซพเนจรหมด ทุกวันนี้ นี่แหละรุ่นคุณแม่สุ่ม ตั้งแต่อาตมาอยู่วัดพรหมบุรี ย้ายมา พ.ศ. ๒๔๙๙ แม่สุ่มคู่กับหมอชลอเข้าผลสมาบัติ หมอชลอเข้าได้ถึง ๘๔ ชั่วโมง แต่แม่สุ่มได้ ๓๐ ชั่วโมง ขอฝากไว้เรื่องเป็นอย่างนี้ ขอให้ทำให้ได้สภาวะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็ขอฝากไว้... อันนี้ก็สั้น ..... http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C-67382.html http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=431

กรรมทำแท้ง

ย้อนรอยกรรม ป้าแม้น จันทร์หอม อายุ 65 ปี อาชีพแม่บ้าน เมื่อประมาณ 23 ปี ที่แล้ว มีเด็กสาวที่ทำงานโรงงานที่ป้าแม้นรู้จักได้ตั้งครรภ์ ตอนนั้นพ่อและแม่ของเด็กก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงเด็กคนนี้ได้ เมื่อคลอดเด็กออกมาได้ 3 วัน ด้วยความสงสาร และตัวเองก็ไม่ได้มีลูกชาย เลยตัดสินใจขอรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้เอง ตอนนั้นฐานะทางบ้านก็เพียงแค่พอมีพอกิน แต่ก็ไม่ได้มีหนี้มีสินอะไร คิดเพียงแต่ว่าอยากจะช่วยชีวิตคนๆ หนึ่งที่เป็นตัวเป็นตน ได้ลืมตามาดูโลกนี้ไว้ ตอนที่เลี้ยงเด็กคนนี้ป้าแม้นก็ดูแลอย่างดี เหมือนลูกในไส้ของตนเอง แต่เรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้น คือว่า ป้าแม้นตั้งครรภ์ ซึ่งตอนนั้นก็มีอายุ 42 ปีแล้ว ตอนนั้นป้าแม้นก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะเอาลูกเขามาเลี้ยงแล้ว แต่ลูกอิจฉากลับมาเกิดอีก จะทำยังไงดี เพราะฐานะของเราคงไม่สามารถเลี้ยงดูให้เขามีความสุขได้ จะเอาลูกคนนี้ไปคืนก็ไม่ได้ เพราะด้วยความรัก และความผูกพันกับลูกคนนี้ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์คิดว่าเด็กในท้องยังไม่ได้เป็นตัวเป็นตน ยังเป็นแค่ก้อนเนื้อ จึงตัดสินใจไปทำแท้งกับหมอเถื่อน ต่อมาก็มีคนที่รู้ก็มาขอให้พาไปทำแท้งอีกเรื่อยๆ ทุกครั้งเราก็จะห้ามเขาตลอดเวลา แต่อีกใจหนึ่งก็เห็นใจคนที่ต้องการทำแท้ง เข้าใจหัวอกกันดี บางคนก็ถูกผู้ชายทิ้งบ้าง หรือไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กที่จะเกิดมาได้ เห็นเขาร้องห่มร้องไห้ ก็อดสงสารไม่ได้ ความสงสารมันมีมากกว่าความกลัวบาปกลัวกรรม ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา ชีวิตก็รุ่มร้อน อยู่ไม่ติดที่ เคยเป็นหนี้เป็นสิน แต่ลูกก็ช่วยชดใช้ให้ ในวันแรกที่ได้พบแม่ชีนั้น แม่ชีทักป้าแม้นทันทีว่า “ทำแท้งมาใช่ไหม” เมื่อมาฝึกสมาธิกับแม่ชี ก็รู้สึกเบาขึ้น จากที่รู้สึกหนักเนื้อหนักตัวก็เบาลง แม่ชีให้มาถือศีลกับแม่ชีก่อน แล้ววันสุดท้ายที่จะกลับแม่ชีก็ได้สื่อวิญญาณให้กับวิญญาณของเด็ก ซึ่งในภาพที่ท่านแม่ชีเห็นก็คือ มีเด็กมาเกาะตามแขนของป้าแม้น ป้าแม้นบอกแม่ชีว่า ได้เคยทำแท้งมา และก็พาคนอื่นไปทำแท้งด้วย รวมทั้งหมด 7 คน ป้าแม้นจึงทำบุญไปให้ ด้วยสังฆทาน 7 ถัง ในขณะที่แม่ชีสวดส่งวิญญาณให้เจ้ากรรมนายเวรได้มารับผลบุญส่วนกุศลนั้น ท่านแม่ชีบอกว่าให้ไปหยิบสังฆทานมาเพิ่มอีก 1 ถัง เพราะแม่ชีเห็นวิญญาณที่ติดตามมามี 8 คน ไม่ใช่ 7 คน เป็นผู้หญิง 4 คน ผู้ชาย 4 คน ซึ่งป้าแม้นได้บอกเองทีหลังว่า จริงๆ แล้วตนเองเคยไปช่วยยกผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขานอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นเขาตั้งครรภ์ ขณะที่ยก ป้าแม้นได้ยินเสียงดัง “กรึ๊ก” ต่อมาผู้หญิงคนนั้นก็แท้งลูก ตกเลือด ซึ่งวิญญาณของเด็กนั้นก็ติดตามมาด้วย ท่านแม่ชีได้ให้ความรู้ว่า บางคนแท้งเอง โดยที่แม่ไม่ได้ต้องการจะให้เด็กตาย แต่วิญญาณของเด็กก็ยังติดตามแม่อยู่ไม่ได้ไปไหนก็มี เพราะถ้าคนตายแล้วบางทีเขาไม่รู้ที่ไป ก็ยังวนเวียนอยู่กับเรา ในกรณีของป้าแม้นนี้ วิญญาณของเด็กที่ป้าแม้นพาไปทำแท้งก็วนเวียน อาฆาต พยาบาทอยู่ เพราะเราเป็นคนหนึ่งซึ่งมีส่วนทำให้เขาตาย เราต้องปฏิบัติธรรม อุทิศส่วนกุศลไปให้เขา เพื่อให้เขาได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ขออนุโมทนาบุญกับป้าแม้น จันทร์หอม และวิญญาณของเด็กทั้ง 8 คน ที่ได้เผยแผ่เรื่องนี้ให้เป็นอุทาหรณ์กับผู้ที่คิดจะทำแท้ง หวังว่าเรื่องราวของป้าแม้นจะทำให้เด็กอีกกลุ่มหนึ่ง ได้มีโอกาสเกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ ขอมหากุศลในครั้งนี้ จงส่งผลให้ป้าแม้น พ้นไปจากบ่วงกรรมทั้งปวงที่เคยได้กระทำไว้ ขอให้ชีวิตของป้าแม้น จงมีแต่ความสุข ความเจริญ สาธุ... ธรรมะจากแม่ชี กรรมหนักอันดับหนึ่งก็คือ กรรมฆ่ามนุษย์ ยิ่งการทำแท้งเป็นกรรมหนักมากเพราะเราได้กระทำกับผู้ที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา จากผู้คนที่เข้ามาหาแม่ชีนั้น ผู้ที่ทำกรรมนี้ไว้ จะมีโรคประจำตัวบ้างที่รักษาไม่หาย หรือ รู้สึกหนักเนื้อ หนักตัว ทำกินจะไม่ขึ้น มีหนี้มีสิน เราจะต้องอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับวิญญาณเด็กที่ตาย ส่วนมากแม่ชีจะแนะนำให้บวช เพราะการบวชถือเป็นบุญใหญ่ มีพลังมากที่จะส่งดวงวิญญาณให้เด็กได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ ถ้าบวชไม่ได้ก็จะให้เป็นเจ้าภาพบวชพระ หรืออย่างน้อยที่สุดถวายสังฆทานที่มีชุดไตรจีวร สำหรับเด็กที่เป็นผู้ชาย ส่วนผู้หญิงก็จะเป็นชุดบวชชีพราหมณ์แทน ใครก็ตามที่เข้ามาหาแม่ชี แม่ชีจะรู้ทันทีว่าคนนี้เคยทำแท้งมาหรือไม่ ทำมากี่ครั้ง และจะสามารถรู้ได้ด้วยว่าเป็นผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน ซึ่งเรื่องนี้แม่ชีจะไม่พูดออกไปทันที จะให้ความเคารพสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคน เพราะบางคนก็ไม่ได้มาคนเดียวพาเพื่อนมาด้วย ก็ไม่กล้าพูดออกไป ใจจริงๆ ก็สงสารเขาอยู่ ถ้าไม่มีคนอื่นแม่ชีก็จะพูดทักออกไปเหมือนกัน เพราะอยากจะช่วยให้เขาหลุดกรรมที่ได้เคยทำไว้ เป็นการได้ปลดปล่อยวิญญาณของเด็กที่ตามมาด้วยอีกทางหนึ่ง แต่ถ้าคนไหนสารภาพออกมาเองเลย กรรมเขาจะหมดเร็วมาก แม่ชีก็จะให้เขามาถือศีล แล้ววันสุดท้ายก็จะสื่อกับวิญญาณให้ ขอให้อโหสิกรรมให้แก่กัน เมื่อออกไปแล้ว จะไปทำมาหากินก็จะได้เจริญก้าวหน้า ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรมาเบียดเบียนอีก เรื่องพวกนี้เหมือนเขี่ยผงออกจากตา ถ้าทำเป็นจะไม่มีอะไรซับซ้อนเลย คนที่เคยผิดพลาดไปแล้ว แม่ชีก็เข้าใจเขา ว่าเขาไม่กล้าบอกใคร ไม่อยากให้ใครรู้ แต่ถ้าเรารู้สึกผิดและละอายต่อสิ่งที่เราทำไปแล้ว แม่ชีก็ยินดีที่จะรับฟัง และพร้อมที่จะช่วยหาทางออกให้ เพราะคนเราไม่มีใครถูกตั้งแต่เกิดหรอก เคยทำผิดพลาดด้วยกันมาทั้งนั้น ขออย่างเดียวให้คนรอบข้างเข้าใจ และให้อภัยในสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว และช่วยกันหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก เท่านี้ก็เพียงพอแล้วขอขอบคุณ http://www.maeshemanora.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=484725

กฎแห่งกรรม เรื่อง เวรกรรมตามลมปาก

เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณได้ฟังนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพง ลูกสาวคนเดียวของฉัน ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ชาติที่แล้ว ตัวเองทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ในชาตินี้ ฉันจึงได้มีลูกสาวที่ดื้อ ปากเก่ง และเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ แพง : แม่!! แม่เอาเสื้อหนูไปไว้ไหนน่ะ!! เสื้อสีฟ้าที่หนูพึ่งซื้อมา แม่เอาไปไว้ไหน บอกมานะ!!!! โอ๊ย ยาย ยายไปห่างๆ ได้ไหม หนูบอกแล้ว ว่าตัวยายน่ะ เหม็นมาก เหม็นจนอยากจะอ้วกเลยล่ะ ออกไปห่างๆ ไป ... นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในครอบครัวของฉัน บ้านของเราอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี ฉัน สามี ลูก และแม่ของฉัน ... สามีของฉันทำงานเป็นข้าราชการ อยู่ที่กระทรวงแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่ายังดี ที่พวกเราก็ไม่ได้ถึงกับขาดแคลน .... และด้วยความที่ฉันกับสามี มีลูกสาวเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็กๆ มา ไม่ว่าแกจะอยากได้อะไร ฉันกับสามีก็จะซื้อให้ หามาให้ ด้วยหวังว่าลูกจะได้รู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่เรามีต่อแก ... แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่ฉันเคยหวัง มันกลับไม่เคยเป็นอย่างที่หวัง แพง : แม่...พรุ่งนี้หนูจะไปทัศนศึกษากับเพื่อน แต่หนูไม่มีเงินติดตัวเลย แม่เอาเงินให้หนู 500 ได้ไหม แม่ : เอาไปทำไมตั้ง 500 ล่ะลูก หนูจะใช้อะไรเยอะขนาดนั้น แพง : โอ๊ย!!!! 500 เนี่ยเหรอเยอะ ซื้อของชิ้นเดียวก็หมดแล้ว ... แม่เอามาเหอะ อย่าพูดมากน่ะ หนูไม่อยากจะทะเลาะด้วย ... อ้อ แล้วพรุ่งนี้เย็นๆ เพื่อนหนูจะมากินข้าวด้วย อย่าลืมทำกับข้าว เผื่อนะคะ แล้วก็บอกยายด้วยว่า ไม่ต้องมากินข้าวกับหนู เพราะยายกินข้าวหกเลอะเทอะ หนูอายคนอื่นเขา .. นี่คือคำพูดที่ลูกใช้พูดกับฉัน ... และเป็นคำพูดที่ลูกพูดถึงยายแท้ๆ ของแกเอง ... ฉันเองเคยห้ามปรามลูกด้วยการขู่ว่า ถ้าแกยังไม่เลิกพูดอย่างนี้ ชาติหน้า แกอาจจะมีปากเท่ารูเข็ม ... แต่ผลที่ได้ตอบกลับมาก็คือ แพง : ชาติหน้ามีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าหนูจะมีปากเท่ารูเข็มจริงๆ หนูไปฆ่าตัวตายดีกว่า ... หนูไม่อยู่ให้โง่หรอก วันเวลาผ่านไป เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ลูกสาวของฉันใช้คำพูดแสบ ๆ ทิ่มแทงคนในครอบครัวกันเองอยู่เสมอ ... ทำให้ฉันและสามีรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก ฉันกับสามีได้มานั่งปรึกษากัน ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามหาทางออก แต่ยิ่งคิดอย่างไร ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางออกทางไหนเลย แม่ของฉันเองก็ได้แต่เตือนว่า ยาย : เอ็งต้องระวังนังแพงไว้ให้ดีนะนังหนู ปากมันน่ะ ชอบพูดจาดูถูก คนอื่นเขา ไอ้ลำพังมันดูถูกข้า ข้าก็ไม่โกรธ เพราะยังไงมันก็หลาน แต่ไอ้การที่มันไปไล่ปากเก่งกับคนอื่นเขาน่ะ ระวังมันจะเป็นเรื่องเข้าสักวัน ฉันเองก็รู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่า เหตุการณ์ที่แม่บอกไว้ มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด วันนั้น แพงและเพื่อนได้นัดกันออกไปเที่ยวข้างนอก แต่ก่อนที่แกจะออกไป แกก็โวยวายขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเหลืออดจริงๆ แพง : ยาย ยายทำบ้าอะไรเนี่ย .. ยายรีดเสื้อประสาอะไร ทำไมมัน ไหม้อย่างนี้ล่ะ ...เสื้อตัวนี้ แพงซื้อมาตั้งเท่าไร รู้มั๊ย ... โง่จริงๆ เลย แก่แล้วยังไม่เจียมอีก รีดไม่เป็นวันหลังก็ไม่ต้องมาทำสิ ... แม่ : แพง โวยวายอะไรกับคุณยายน่ะลูก แพง : ก็คุณยายน่ะสิคะ ทำเสื้อแพงไหม้เป็นรู อย่างงี้จะไม่ให้ด่าได้ยังไงล่ะ แพงจะใส่วันนี้ด้วย แม่ : แพง คุณยายเขาอุตส่าห์รีดให้นะลูก ขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้ แพง : แม่พูดอย่างงี้ได้ยังไง คุณยายเป็นคนผิดนะ จะให้แพงขอโทษน่ะเหรอ ไม่มีวันซะหรอก แม่ : แม่บอกให้แพงขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้ แพง : แม่ฝันไปเถอะว่าแพงจะขอโทษคุณยาย...งี่เง่า!! (SFX: ฉาด) แพง : แม่!!!!!!!! แม่ : แม่ไม่เคยสอนให้หนูเป็นคนอย่างนี้เลย แต่ทำไมหนูถึงกลายเป็นคนก้าวร้าว เห็นแก่ตัวอย่างนี้ แม่ทนมานานแล้วนะแพง ทำไมหนูทำแบบนี้ แพง : แม่ แม่จำไว้เลยนะ แม่ตบแพง ... แม่ตบตีลูกตัวเอง แม่จะต้องได้รับกรรม (SFX: เสียงวิ่งออกไป) และนั่น ก็เป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินจากลูก แพงหายออกจากบ้านไปเป็นเวลาหลายอาทิตย์หลังจากนั้น ฉันเองรู้สึกเสียใจ ที่ได้ทำกับลูกอย่างนั้น ... แต่ก็ยังดี ที่สามีของฉันไม่ถือโทษโกรธ และยังให้กำลังใจว่า สักวันลูกก็ต้องกลับมา ... และในที่สุด ในคืนหนึ่ง ฉันกับสามี ก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ ที่โทรมาบอกว่า ลูกของฉันกำลังถูกนำตัวส่งห้องไอซียู ... ฉันกับสามีรีบรุดไปดูลูกที่โรงพยาบาล และได้รับการบอกเล่ากับเพื่อนของลูกที่อยู่ในเหตุการณ์ว่า แพงกับเพื่อนได้ไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แต่โชคไม่ดี ที่กลุ่มของแพงได้ไปเจอเด็กวัยรุ่นเมายาเข้า จึงเกิดมีปากเสียงและได้ลงไม้ลงมือกัน ขณะที่แพงกับเพื่อนผู้หญิงอีกหลายคนกำลังพยายามวิ่งหลบแก้วและขวดที่ถูกขว้างปากันอยู่นั้น ก็บังเอิญมีผู้ชายคนหนึ่งมาขัดขาแพงเข้า ทำให้แพงเซถลาไปข้างหน้าและปะทะกับเหล็กด้ามใหญ่ที่คู่อริกำลังเงื้อตีเข้ามา ... เหล็กท่อนนั้น ฟาดลงที่ช่วงคอของแพงพอดี และหลังจากนั้น แพงก็หมดสติล้มลงไป ฉันได้ฟังเพื่อนของลูกเล่าเหตุการณ์อย่างนั้นก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ... เพราะลำพังเวลาที่คอโดนกดหรือโดนใครเอามือบีบ ก็รู้สึกแย่พอแล้ว แต่นี่ลูกของฉันถูกเหล็กท่อนใหญ่ฟาดเข้าไปที่ลำคอ ... ฉันไม่อยากจะนึกภาพเลย ... ฉันกับสามีและแม่นั่งรอดูอาการของลูกอยู่อย่างนั้น จนในที่สุด คุณหมอก็ออกมาจากห้องไอซียู แม่ : คุณหมอคะ ลูกสาวดิฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ หมอ : คุณต้องทำใจดีๆ นะครับ เพราะผมมีทั้งข่าวร้ายและข่าวดีมาบอก ... ข่าวดีของลูกคุณก็คือว่า แกปลอดภัยแล้ว แต่ข่าวร้ายก็คือ แกอาจจะ พูดไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต เพราะกล่องเสียงของแกแตก ด้วยถูกเหล็ก กระแทกอย่างรุนแรง กล่องเสียงแตก พูดไม่ได้ ... เป็นคำพูดที่สะท้อนอยู่ในหัวของฉันตลอดเวลา ฉันพยายามคิดหาเหตุผลมากมายว่าทำไมเหตุการณ์นี้ ต้องเกิดขึ้นกับครอบครัวของฉัน ... หรือว่าสาเหตุมันจะมาจากตัวฉัน ... ฉันวนเวียนคิดไปมาทั้งคืน จนในที่สุด คำตอบที่ได้ก็มาจากปากของแม่ฉันเอง ... ยาย : มันเป็นกรรมยังไงล่ะนังหนู ... ลูกสาวเอ็งมันทำกรรมด้วยการด่าทอ ให้ร้ายบุพการีและผู้มีพระคุณ กรรมจึงตามลงโทษมัน ทำให้มันต้อง เป็นแบบนี้ ... บาปกรรมน่ะ ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า เพราะแค่ชาตินี้ มันก็ตามเราทันแล้ว ... ทำใจซะเถอะลูก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คงจะทำให้ลูกสาวของฉันคิดได้ ... เพราะแม้แกเองจะพูดอะไรไม่ได้ แต่น้ำตาที่ไหลออกมา ก็ทำให้ฉันรู้ว่า แกคงเสียใจกับการกระทำในอดีตไม่น้อย ... ฉันเองก็ได้ปลอบใจลูก และได้แต่หวังว่า วันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า บาปกรรมที่แกเคยได้ก่อไว้ อาจจะเบาบางและจางหายไป และวันนั้น อาการของลูกสาวฉันอาจจะดีขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้ อาหุเนยยา จะ ปุตตานัง บิดามารดา เป็นที่นับถือของบุตร

กรรมของคนด่าพระ

มีผู้คนอยู่ไม่น้อยในโลกนี้ ที่ยังไม่ทราบว่าคุณค่าของชีวิตคืออะไร ทำให้ชีวิตของชาวโลกจึงต้องวุ่นวายไปกับการแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดนั้น ไม่ต้องออกไปแสวงหาอื่นไกล เพราะสิ่งนั้นมีอยู่แล้วในตัวของทุกๆ คน นั่นก็คือพระรัตนตรัย รวมทั้งบุญกุศลและคุณความดีทั้งหมด เพียงแต่เราต้องมาพิจารณาสักนิด จึงจะพบว่าในชีวิตของเรานี้ สิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือบุญ เพราะบุญเป็นบ่อเกิดของทุกสิ่งทุกอย่าง จะช่วยส่งเสริมให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตได้ หากขาดบุญกุศลแล้ว ชีวิตของเราจะมีแต่ความมืดมนและเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่เรื่อยไป เพราะฉะนั้นเราต้องประกอบบุญกุศลไว้ให้มากๆ ทำให้เป็นชีวิตจิตใจ และต้องหมั่นเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนากันอยู่เสมอด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร ว่า “ทุลฺลภญฺจ มนุสฺสตฺตํ ความเป็นมนุษย์ หาได้ยาก พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ ความเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าหาได้ยาก ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ ความถึงพร้อมด้วยขณะสมัย หาได้ยาก สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภ พระสัทธรรม หาได้ยากอย่างยิ่ง ทุลฺลภา สทฺธาสมฺปตฺติ ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา หาได้ยาก ปพฺพชฺชา จ ทุลฺลภา การบวช หาได้ยาก ทุลฺลภํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การฟังพระสัทธรรม หาได้ยาก” ขึ้นชื่อว่าความยากแล้ว การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถือว่าเป็นความยากอันดับแรก ครั้นเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์จึงถือว่าได้ความยากนั้นมาแล้ว ส่วนการเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการได้มาพบพระพุทธองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ก็ถือว่าเป็นการยาก เพราะเป็นการถึงพร้อมด้วยขณะสมัยที่ยังมีพระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นยาก การได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ด้วยแล้วยิ่งเป็นการยากอีก เมื่อฟังแล้วเกิดความศรัทธาเลื่อมใสก็หาได้ยาก และถ้าใครเกิดศรัทธาแล้วออกบวชก็ยิ่งหาได้ยาก ดังนั้นเมื่อเราได้ความยากดังที่กล่าวมาแล้วนี้ เราก็ต้องหวงแหนและรักษาไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้โอกาสเหล่านี้หลุดลอยไป ดังเช่นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต * ในสมัยนั้น มีพระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อ พระสังกิจจะ เมื่อมีอายุเพียง ๗ ขวบเท่านั้น ท่านได้บรรลุพระอรหัตในขณะที่พระอุปัชฌาย์กำลังจรดมีดโกนลงไปที่ปลายผมให้ท่าน ท่านบวชเป็นสามเณรอยู่ในราวป่าพร้อมกับภิกษุประมาณ ๓๐ รูป ครั้งนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายคือ โจรจะจับพระทั้ง ๓๐ รูปนำไปฆ่าเพื่อบูชายัญ ท่านจึงยอมเสียสละชีวิตของตนเอง โดยยอมให้โจรจับไป แต่สุดท้ายโจรทำอะไรท่านไม่ได้ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ผู้มีอานุภาพ จนกระทั่งพวกโจรเกิดศรัทธา และขอบรรพชาทั้ง ๕๐๐ คน ท่านจึงพาไปเฝ้าพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น ในเวลาจบพระธรรมเทศนาภิกษุเหล่านั้นได้บรรลุเป็นพระอรหันต์กันทั้งหมด ต่อมาเมื่อพระสังกิจจะ มีพรรษาครบอุปสมบทแล้ว จึงไปยังกรุงพาราณสีพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป อาศัยอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ชาวบ้านพากันไปหาพระเถระ ฟังธรรมแล้วก็มีจิตเลื่อมใสได้ถวายอาคันตุกทาน ในชาวบ้านเหล่านั้น มีอุบาสกคนหนึ่งได้ทำการชักชวนมหาชนให้ถวายนิตยภัตร มหาชนจึงได้เริ่มตั้งนิตยภัตรตามกำลังของตน ในกรุงพาราณสี มีพราหมณ์มิจฉาทิฏฐิคนหนึ่ง มีบุตร ๓ คน คือบุตรชาย ๒ คน และธิดา ๑ คน บุตรคนโตได้อุบาสกเป็นกัลยาณมิตร อุบาสกพาเขาไปหาพระสังกิจจะ เมื่อได้ฟังธรรมที่ท่านแสดง เขาเริ่มเกิดจิตศรัทธาเลื่อมใส ต่อมาเมื่ออุบาสกชักชวนให้ถวายภัตตาหารเป็นประจำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง บุตรพราหมณ์จึงกล่าวว่า “พวกเราเป็นพราหมณ์และไม่เคยถวายนิตยภัตรเป็นทานแก่พระสมณะผู้ศากยบุตรเลย เพราะฉะนั้น เราจักไม่ยอมให้” อุบาสกกล่าวว่า “แม้เราผู้เป็นเพื่อนของท่าน ก็จักไม่ให้ภัตบ้างหรือ” บุตรพราหมณ์กล่าวว่า “เราเป็นเพื่อนกัน ทำไมฉันจักไม่ให้” อุบาสกพูดว่า “ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เธอจะให้เรา เธอจงถวายแก่ภิกษุรูปหนึ่งเถิด” เขารับคำแล้ว จึงนิมนต์ภิกษุมารูปหนึ่งให้มาฉันที่บ้าน เมื่อวันเวลาผ่านไปอย่างนี้ น้องชายและน้องสาวของเขา เห็นวัตรปฏิบัติของภิกษุทั้งหลาย กอปรกับการได้ฟังธรรมแล้ว มีความเลื่อมใสยิ่งขึ้นในพระศาสนา และมีความยินดีในการสั่งสมบุญอยู่เป็นนิตย์ คนทั้ง ๓ เมื่อให้ทานตามกำลังทรัพย์อย่างนี้ ได้สักการะเคารพนับถือบูชาสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ส่วนมารดาและบิดาของพวกเขา เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส ไม่เคารพในสมณพราหมณ์ ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่รู้สึกพอใจในการบำเพ็ญบุญ พวกญาติของครอบครัวนี้ ได้ขอธิดาของเขามาแต่งงานกับบุตรของผู้เป็นลุง ซึ่งบุตรคนนั้นเมื่อฟังธรรมในสำนักของพระสังกิจจะแล้วเกิดความสังเวชจึงขอออกบวช และได้ไปสู่บ้านของมารดาตนเพื่อฉันภัตตาหารเป็นนิตย์ ฝ่ายมารดาผู้ไม่มีศรัทธา ก็รบเร้าและชักชวนขอให้สึก ด้วยการนำเด็กรุ่นสาวมายั่วยวน เมื่อเป็นดังนั้น สามเณรรู้สึกกลุ้มใจ จึงเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์แล้วกราบเรียนเรื่องราวเพื่อจะขอลาสิกขา

พระอุปัชฌาย์ เห็นว่าศิษย์เป็นผู้มีอุปนิสัยดีงาม เป็นผู้มีบุญบารมีมาก่อน จึงกล่าวว่า “พ่อเณร รอสักเดือนก่อนเถอะ” สามเณรจึงรับคำท่าน เมื่อผ่านไปได้เดือนหนึ่ง พระอุปัชฌาย์ก็กล่าวซ้ำอีกว่ารอไปอีกสักกึ่งเดือนเถิด เมื่อกึ่งเดือนผ่านไป สามเณรเข้ามาหาและกล่าวอย่างนั้นอีก พระเถระก็กล่าวอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นรอไปสัก ๗ วันเถอะ” สามเณรรอมาหลายครั้งแล้ว แต่ด้วยความเคารพในพระอุปัชฌาย์จึงรับคำแล้วก็รอต่อไปอีก ด้วยคิดว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว และภายใน ๗ วันนั้นเอง เรื่องก็เกิดขึ้น คือที่เรือนของน้าหญิงของสามเณร ซึ่งจวนจะพังอยู่แล้วเพราะชำรุดทรุดโทรมมาก เมื่อถูกพายุกระหน่ำเท่านั้นก็พังลงมาทันที พราหมณ์กับพราหมณี และลูกชาย ๒ คนลูกหญิง ๑ คน ถูกเรือนพังทับตายไปหมด ในคนที่ตายไปนั้น ฝ่ายพราหมณ์และนางพราหมณีไปบังเกิดในกำเนิดเปรต ส่วนลูกชาย ๒ คนลูกหญิง ๑ คน บังเกิดเป็นภุมเทวา บุตรคนโตมีช้างเป็นพาหนะ บุตรคนเล็กมีรถเทียมด้วยแม่ม้าอัสดรเป็นพาหนะ ลูกหญิงมีวอทองเป็นเครื่องแห่แหน พราหมณ์และนางพราหมณีถือเอาค้อนเหล็กชนิดใหญ่มาทุบกัน ที่ที่ถูกทุบแล้วปรากฏมีฝีประมาณเท่าหม้อลูกใหญ่ ผุดขึ้นครู่เดียวเท่านั้น หัวฝีแก่เต็มที่แล้วก็แตกออก จากนั้นก็พากันดื่มหนองและเลือดที่ไหลออกมา พลางด่าตะคอกด้วยวาจาหยาบคายต่อกันไป ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา เมื่อครบกำหนดเวลา สามเณรก็เข้าไปหาพระอุปัชฌาย์กราบเรียนว่า ท่านครับ กระผมผ่านวันที่รับปากกับท่านไปแล้ว ทีนี้ผมจะลาสิกขาแล้วกลับไปอยู่เรือน ขอท่านจงอนุญาตผมเถิด พระอุปัชฌาย์กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น เมื่อถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ เวลาพระอาทิตย์ตกดิน เธอจงมาเถิด” สามเณรเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจ เฝ้ารอให้ถึงวันนั้น เมื่อถึงวันและเวลาที่กำหนดแล้ว พระอุปัชฌาย์ จึงพาสามเณรเดินไปหน่อยหนึ่งแล้วยืนอยู่ด้านอิสิปตนวิหาร สมัยนั้น เทพบุตร ๒ องค์นั้น พร้อมด้วยน้องสาวเดินผ่านไปทางนั้นพอดี ฝ่ายมารดาบิดาของพวกเขาต่างก็ถือไม้ค้อน พูดวาจาหยาบคาย รูปร่างหมองคล้ำ มีเส้นผมยาวรกรุงรัง สูงราวกับลำตาล มีหนองและโลหิตไหลออกมา น่าเกลียดน่ากลัวพิลึก ติดตามพวกบุตรไป พระสังกิจจะสำแดงฤทธิ์ให้สามเณรได้เห็นชนเหล่านั้นที่กำลังเดินไป แล้วให้สามเณรสอบถามพวกที่ไปด้วยยานช้างเป็นต้น ตามลำดับ คนเหล่านั้นก็กล่าวว่า “ท่านจงสอบถามพวกเปรตที่มาภายหลังเถิด” สามเณรจึงถามเปรตเหล่านั้นว่า “พวกท่านมีสภาพแตกต่างกัน เพราะทำกรรมอะไรไว้” เปรตเหล่านั้น ถูกสามเณรถามอย่างนั้น จึงกล่าวตอบเรื่องราวทั้งหมดว่า "ผู้ที่ได้ขี่ช้างเผือกชาติกุญชรที่งดงามไปข้างหน้า คนนั้นเป็นบุตรคนโตของเรา เพราะเมื่อเป็นมนุษย์ เขาได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ จึงได้รับความสุข ความบันเทิงใจ และผู้ขี่รถเทียมด้วยแม่ม้าอัสดร ๔ ตัว แล่นไปท่ามกลาง ผู้นั้นเป็นบุตรคนกลาง เพราะครั้งเมื่อเขาเป็นมนุษย์ เป็นคนไม่ตระหนี่ได้ถวายทานอยู่เป็นนิตย์ ส่วนเทพนารีที่มีดวงตากลมงดงาม รุ่งเรืองดุจตาเนื้อทราย ขึ้นวอทองมาข้างหลัง เทพนารีนั้นเป็นธิดาคนสุดท้อง นางมีความสุขเบิกบานใจ เพราะผลแห่งทานครึ่งหนึ่ง เขาทั้ง ๓ มีจิตเลื่อมใสจากที่ได้ให้ทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ส่วนข้าพเจ้าทั้ง ๒ เป็นคนตระหนี่ และด่าสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผลจึงเป็นอย่างที่เห็นนี้แหละ" สามเณรได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความสลดสังเวชใจ ไม่มีความต้องการด้วยการครองเรือนอีก และเกิดความยินดียิ่งในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ พระสังกิจจะเถระได้บอกกัมมัฏฐานแก่สามเณร ท่านได้ตั้งใจทำความเพียร ไม่นานนักก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ เราจะเห็นว่า ไม่มีอะไรเป็นที่พึงที่ระลึกที่แท้จริงได้สำหรับชีวิตเลย นอกจากบุญกุศลและพระรัตนตรัยที่เราได้เข้าถึงเท่านั้น เมื่อเราได้โอกาสในการทำความดีแล้ว ก็จงรีบใช้โอกาสนั้นให้เต็มที่ เพราะขณะนี้เราได้ชื่อว่าได้โอกาสที่หาได้ยากอย่างยิ่งแล้ว เพราะเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมจนเกิดศรัทธา แล้วเรายังมีโอกาสได้ประพฤติธรรม เพื่อขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้ ก็จงรีบไขว่คว้าความโชคดีนั้นเอาไว้ สำหรับท่านใดที่ยังไม่ได้บวช ก็ควรหาโอกาสสักครั้งหนึ่งเพื่อมาฝึกฝนอบรมตนเอง ทำความเพียร เจริญสมาธิภาวนากันอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่เราได้โอกาสอันประเสริฐนี้กัน อ้างอิง พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) * มก. เล่ม ๔๙ หน้า ๑๐๘ ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://buddha.dmc.tv/ธรรมะเพื่อประชาชน/กรรมของคนด่าพระ.html http://www.palungdham.com/

ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ นะ โม พุท ธา ยะ

ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ในสมัยต้นปฐมกัป มีพญากาเผือกสองตัวผัวเมีย ทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคาอันเป็นธรรมชาติสถาน รื่นรมย์ ในเวลาต่อมาต่อมา พระโพธิสัตว์ ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์แม่พญากาเผือก พร้อมกันถึง ๕ พระองค์ เมื่อครบทศมาส แม่กาเผือกก็ออกไข่ ณ ที่รังต้นมะเดื่อ จำนวน ๕ ฟองและคอยเฝ้า ดูแลรักษาไข่ด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี อยู่มาวัน หนึ่ง พญากาเผือกออกไปหากินถิ่นแดนไกลไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งอันสมบูรณ์ ด้วยธรรมชาติ แม่กาเผือกเพลินหากินอาหาร ชื่นชมกับธรรมชาติจนมืดค่ำ เกิดลมพายุใหญ่พัดกระหน่ำมืดครึ้มทั่วไปหมด ทำให้หาหนทางออกไม่ถูก จึงหลงอยู่ในบริเวณสถานที่นั้น แม่กาเผือกได้อยู่ที่เวียงกาหลง คืนหนึ่ง จนเช้าจึงรีบถลาบินกลับที่พัก แต่ปรากฏว่ากิ่งไม้มะเดื่อที่ทำรังอยู่ ถูกลมพายุใหญ่พัดหักล้มลงไปในแม่น้ำ แม่กาเผือกตกใจรีบบินถลาหาลูกที่ยังอยู่ในไข่ แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ในที่สุดก็สิ้นใจตายอย่างน่าสงสาร แต่ด้วยอานิสงส์ที่มีความเมตตารักลูกอันบริสุทธิ์ กับทั้งที่ลูกของแม่กา เผือกเป็นพระโพธิสัตว์ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นกุศลหนุนส่งให้แม่กาเผือกไปจุติยังแดนพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ได้พระนามว่า “ฆติกามหาพรหม” จักได้เป็นผู้ถวาย อัฏฐะบริขาร บวชแก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนไข่ทั้ง ๕ ถูกลมพัดตกน้ำไหลไปในสถานที่ต่าง ๆ ไข่ฟองที่ ๑ แม่ไก่เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๒ แม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟอง ที่ ๓ แม่เต่า เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๔ แม่โคเก็บไปดูแลรักษา ไข่ ฟองที่ ๕ แม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา ครั้นในกาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ ปรากฏเป็นมนุษย์บุรุษรูปงานทั้ง ๕ พระองค์ และเจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยงด้วยความกตัญญู รู้จักหน้าที่ ทดแทนบุญคุณจนถึงอายุได้ ๑๒ ปี ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่งก็มีจิตคิดที่จะออกบวชบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี เป็นฤาษีอยู่ในป่า จึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั้ง ๕ พระองค์ ฝ่ายแม่เลี้ยงก็ไม่ขัดความประสงค์ อนุญาตให้ลูกไปบวช บำเพ็ญบารมีอยู่ในป่าด้วยความอนุโมทนา แม่เลี้ยงทั้ง ๕ เห็นปณิธานที่มุ่งมั่น จะบำเพ็ญบารมีพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ในวัฏฏะสงสาร จึงฝากนามของแม่เลี้ยงไว้กับลูก เพื่อเป็นอนุสรณ์ตำนานไว้แก่โลกต่อไปในภาคหน้า เมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกแล้ว ตามลำดับพระนามดังต่อไปนี้ องค์ ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นไก่ องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นนาค องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นเต่า องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นโค องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นราชสีห์

ในกัปนี้ชื่อ ว่า ภัททกัป เป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของ คำว่า “นโมพุทธายะ” นะ คือ พระกกุสันโธ โม คือ พระโกนาคมโน พุท คือ พระกัสสโป ธา คือ พระโคตโม ยะ คือ พระศรีอาริยเมตไตรโย จนเป็นคาถาที่ใช้สืบต่อกันมา ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ เมื่อออกบวชเป็นฤาษี ก็ได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐาน จนสำเร็จญาณอภิญญาสมาบัติ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะมาหาอาหารผลไม้ และบำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ ณ ใต้ต้นนิโครธ อันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ ฤาษีทั้ง ๕ ได้มาพบกัน ณ ที่นี้โดยไม่ได้นัดหมาย จึงสอบถามถึงความเป็นมาของกัน และกันจนรู้ว่าแต่ละองค์ก็มีแต่แม่เลี้ยง ฤาษีทั้ง ๕ จึงร่วมกันตั้งสัจจะอธิษฐานขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้า ด้วยอำนาจ สัจจะอธิษฐานธรรมอันบริสุทธิ์ดังก้องไปถึงพรหมโลก ท้าวฆติกามหาพรหม ซึ่งเดิมคือ แม่กาเผือก ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดจึงจำแลงเพศเป็นรูปเดิม ขนขาวสวยงาม มาปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าของฤาษีทั้ง ๕ เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็รู้สึกสลดสังเวชใจ และสำนึกบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่กาเผือก จึงน้อมนมัสการผู้เป็นแม่ กราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์ผู้บังเกิดเกล้าไว้บูชา ได้มาเป็นผ้าฝ้ายเป็นตีนกาสัญลักษณ์ของแม่กาเผือกให้แก่ลูกฤาษีทั้ง ๕ ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุกวันพระ และต่อมาได้กลายเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ตลอดกาลนาน ฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ต่างพากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาดจนดับขันธ์ ได้ไปจุติบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพ และในกาลต่อมา ก็วนเวียนบำเพ็ญเพียรบารมีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสงสารวัฏ นี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศแล้ว ก็ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ต้นกัปโลกา ก็จะนำเอาบริขาร คือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ในชาติสุดท้ายที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์ กาลเวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบัน พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือก ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกไปแล้วถึง ๔ พระองค์ ตามลำดับดังนี้ พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๔ หมื่นปี มีเขมวตีนนครของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๓ หมื่นปี มีโสภวตีนนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๒ หมื่นปี มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๘๐ ปี มีกบิลพัสดุ์นครของพระพุทธเจ้าสุทโธทนะเป็นราชธานี ส่วนพระโพธิสัตว์องค์ที่ ๕ อันเป็นลูกองค์สุดท้ายของแม่กาเผือก คือ พระศรีอริยเมตไตรย์ จักเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัททกัป จะมีอายุถึง ๘ หมื่นปี ในยุคของพระศรีอริยเมตไตรย์นั้นสภาพสังคมมนุษย์โลกจะอุดมสมบูรณ์พูนสุขมาก เพราะผู้คนมีศีลธรรมอยู่ด้วยกันได้เมตตาธรรมมีศีล 5 บริสุทธิ์ ทุกคน จึงมีทรัพย์สมบัติมาก มีอายุ ยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีรูปร่างสวยสดงดงามหน้าตาผ่องใสเบิกบานด้วยกันหมด เพราะผู้คนในยุคนั้นได้สร้างบุญบารมี ให้ทาน รักษาศีล ภาวนากันมาสมบูรณ์ดีหมดและเพราะพระบารมีของพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรยที่ สั่งสมบารมี เพื่อ ความสันติสุขของโลกซึ่งมีพระเจ้าสังขจักรพรรดิทรงปกครองบ้านเมืองโดยชอบธรรม ในเมืองเกตุมวดีนครแผ่ธรรมจักรพรรดิให้คนรักษาศีล 5 ทั้งโลก เมื่อพระศรีอริยเมตไตรยได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วผู้คนจึงได้ฟังพระ ธรรมจักรได้ดื่มรส อมตธรรมแห่งพระศรีอริยเมตไตรย์ ได้บรรลุเข้าถึงสวรรค์นิพพานโดยแท้ ผู้คนในยุคนั้นจึงโชคดีที่สุดที่เกิดมาเพื่อสันติสุข เข้าถึง ศีลธรรมอันดีงามทั้งหมดขอให้ทุกคนจงพากเพียร ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา จะได้ไปเกิดในพระศาสนาพระศรีอาริย์หากเข้าสู่นิพพานยุคนี้ยังไม่ได้ ท่านก็ยังมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งอย่างแน่นอนคือพระศรีอริย เมตไตรย์ลูกแม่กาเผือกองค์สุดท้าย ที่มา http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=kathaarkom&topic=7884, http://www.boysapolclub.com/Forums/index.php?PHPSESSID=b35538a35e60b9c3ba468c18253a8c4d&topic=1892.15 ขอบคุณภาพจาก http://board.palungjit.com/,http://www.dhammajak.net/

เคล็ดแก้กรรม ทุกข์ร้อนเรื่องความรักและคู่ครอง

ต้นเหตุ เกิดจากบาปกรรมครั้งเก่าก่อน ซึ่งเคยได้พรากความรักจากผู้อื่น หรือข่มเหงทำร้ายจิตใจของคนรักเก่ามาก่อน วิธีแก้เคล็ด 1. ฟังเทศน์มหาชาติ แล้วบูชากัณฑ์มัทรี กัณฑ์ ทศพร และกัณฑ์มหาราช 2. ทำบุญปล่อยหอยขม 1-3 กิโลกรัม ปล่อยเต่า 1 คู่ ปล่อยปลาไหล 3 คู่ ปล่อยนก 1 คู่ 3. ร่วมงานมงคลสมรส งานหมั้นของบุคคลที่รักและรู้จัก อาจจะรับจัดการเรื่องอาหารของแขกเหรื่อ หรือจัดทำสำรับกับข้าวมาถวาย ทำบุญเลี้ยงพระในตอนเช้าวันแต่งก็ได้ 4. ไปทำบุญร่วมงานก่อพระเจดีย์ทราย 5. ถวายเทียนคู่ ถวายผ้าคู่ ไตรจีวร แด่พระสงฆ์ 6. ถวายหมอนคู่ และแจกันคู่แด่พระสงฆ์ ที่มา http://www.thammaonline.com/

กฎแห่งกรรม : ตายอย่างหมาข้างถนน

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า “เหล้า” หากดื่มเข้าไปแล้วย่อมทำให้ขาดสติ เป็นที่มาของปัญหาต่างๆ มากมายในสังคม แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังมองไม่เห็โทษของการดื่มเหล้าแต่ประการใด ทั้งๆที่มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมายในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการเมาเหล้าแล้วขับรถประมาทจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ เมาเหล้าแล้วทะเลาะกับลูกเมีย เมาเหล้าแล้วทำให้เกิดการคึกคะนองทะเลาะวิวาทกัน เมาเหล้าแล้วก่อให้เกิดการข่มขืน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เห็นจนชินตาในสังคม ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นอีกกรณีหนึ่งที่ได้รับผลกรรมจากการดื่มเหล้า จนทำให้ต้องสิ้นใจตายอย่างน่าอนาถ ลุงเคน เป็นชาวอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม แกเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้าเป็นอย่างมาก แม้ว่าฐานะครอบครัวจะไม่ค่อยดีเท่าใดนัก แต่ก็ดื่มเหล้าหนักเป็นประจำทุกวัน บ่อยครั้งที่ชาวบ้านจะเห็นแกเมาเหล้ากลับมาทะเลาะกับเมีย จนกลายเป็นความเคยชินของคนแถวนั้น แรกๆ ชาวบ้านก็จะพยายามเข้าไปช่วย เมื่อเห็นแกตบตีทำร้ายเมีย แต่ก็โดนลุงเคนด่ากลับว่าเป็นเรื่องในครอบครัว คนอื่นไม่เกี่ยว จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย นอกจากแกจะทะเลาะกับเมียแล้ว ลุงเคนก็ยังทะเลาะกับลูกๆทั้ง 4 คน คือลูกชาย 1 คน และลูกสาว 3 คน เป็นประจำเช่นกัน โดยเฉพาะกับลูกชายที่ไม่ชอบเห็นพ่อตบตีแม่ หลายครั้งที่ลูกชายเข้ามาขวาง และอดไม่ได้ที่จะต้องใช้กำลังตอบโต้พ่อของตน เพื่อป้องกันแม่ ลูกๆ ได้พยายามขอให้พ่อเลิกเหล้าหลายครั้ง แต่ลุงเคนก็ไม่เลิก นับวันยิ่งติดเหล้าจนงอมแงม วันไหนไม่ได้กินถึงกับจะลงแดงเลยทีเดียว ทำให้สภาพครอบครัวของแกนย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เงินที่คนในครอบครัวช่วยกันหามาได้เล็กๆน้อยๆ แกก็ขอไปซื้อเหล้ากินจนหมด หากไม่ให้ก็จะอาละวาดจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ทุกคนในครอบครัว จึงได้แต่ทำใจ ถือว่าเป็นกรรมร่วมกันของทุกคน หลายปีต่อมาเมียของลุงเคนทนไม่ไหวที่ต้องให้ลูกๆ มาลำบากด้วย แทนที่เงินทองที่หามาได้จะนำไปเป็นค่าเล่าเรียนของลูก กลับต้องเอาไปให้ลุงเคนซื้อเหล้ากินจนหมด ลูกทุกคนจึงไม่ได้เรียนหนังสือสูงเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เป็นแม่จึงตัดสินใจให้ลูกๆ แยกย้ายกันไปหางานทำในกรุงเทพ เพื่อจะได้หนีปัญหา ไม่ต้องหาเงินให้พ่อกินเหล้าแบบนี้อีก ส่วนเธอกับสามีก็จะทำมาหากินเท่าที่ทำได้ จะได้ดัดนิสัยลุงเคนไปในตัว เมื่อลูกๆ แยกย้ายไปอยู่กรุงเทพแล้ว ลุงเคนก็ไม่ค่อยมีเงินใช้ บ่อยครั้งที่แกไปกินเหล้าที่ร้านค้าแล้วขอติดหนี้ไว้ก่อน จนบัญชีของแกยาวเป็นหางว่าว เจ้าของร้านก็เอาบัญชีไปให้เมียแก ซึ่งก็ต้องหาเงินมาใช้หนี้ด้วยความทุกข์ใจ เธอจึงบอกร้านค้าว่า ต่อไปนี้หากลุงเคนไม่มีเงินซื้อเหล้า อย่าให้ติดไว้ก่อนเป็นอันขาด เพราะเธอหาเงินมาใช้หนี้ไม่ไหวแล้ว เพราะลำพังของเก่าที่ค้างอยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินจากไหนมาใช้คืน เพราะปีหนึ่งๆ ทำนาขายข้าวได้ไม่เท่าไหร่ แถมเงินที่ลูกๆส่งมาให้แม่ก็ถูกพ่อบังคับเอาไปซื้อเหล้ากินจนหมด เมื่อลุงเคนขอเงินเมียไปซื้อเหล้าไม่ได้ และไปเซ็นเหล้าที่ร้านค้ากินก็ไม่ได้ เพราะทางร้านบอกว่าเมียของแกสั่งไว้ และหนี้เก่ายังชำระไม่หมด ถ้าจะกินก็ต้องซื้อด้วยเงินสด ลุงเคนได้ฟังดังนั้น จึงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง รีบกลับบ้าน และเมื่อเห็นเมียยืนตากผ้าอยู่หน้าบ้าน แกก็ปรี่เข้าไปทุบตีเมียอย่างหนักด้วยความโกรธแค้น จนเพื่อนบ้านที่เห็นต้องเบือนหน้าหนี เพราะสงสาร แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ และครั้งนี้ดูเหมือนว่าเมียแกจะเจ็บหนักกว่าที่ผ่านๆ มา เพราะเธอถึงกับนอนซมด้วยความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วงที่เธอกำลังนอนรักษาตัวอยู่นั้น ไม่มีใครทำกับข้าว กับปลาให้กิน ลุงเคนก็ไม่สนใจใยดี ออกไปรับจ้างเล็กๆ น้อยๆหาเงินมากินเหล้าเมามายเหมือนเดิม เพื่อนบ้านที่แวะเวียนมาปลอบใจ เห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกสมเพชเวทนา บางคนทนไม่ไหวจึงหาข้าวหาน้ำมาให้ วันหนึ่งลุงเคนไปรับจ้างได้เงินมามากเป็นพิเศษ ตกบ่ายแกจึงไปนั่งกินเหล้าที่ร้าน และกินมากกว่าปกติ เพื่อฉลองที่หาเงินได้มากกว่าทุกวัน แกจึงเมาอย่างหนัก จนกระทั่งใกล้ค่ำ แกจึงคิดจะกลับบ้าน แกพยายามลุกขึ้นยืน เดินโซเซไปมา เพื่อพาตัวเองกลับบ้าน ระหว่างทางแกเดินเซๆ ล้มๆอยู่หลายครั้ง ด้วยอาการเมามาย แต่แล้วแกก็เซไปล้มทับรั้วไม้ไผ่ข้างทาง ไม้ไผ่อันแหลมคมจึงเสียบเข้าที่ท้องของลุงเคนอย่างแรง เลือดสดๆทะลักไหลออกมาทันที!! ลุงเคนได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส แกพยายามออกแรงดึงไม้จนหลุดออก แล้วเอามือกุมบาดแผลที่หน้าท้องไว้ เลือดยังไหลทะลักไม่ขาดสาย เพราะเหตุที่แกกินเหล้า จึงทำให้เลือดไหลมากกว่าปกติ ลุงเคนเดินร้องครวญครางไปตลอดทาง แต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงหรือผ่านมาช่วยเหลือเลยแม้แต่คนเดียว แล้วแกก็เดินต่อไปไม่ไหว ร่างของแกค่อยๆทรุดลง แกจึงพยายามใช้วิธีคืบคลานไปทีละน้อยๆ จนรอยเลือดไหลเป็นทางยาว ในที่สุด ลุงเคนก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ประกอบกับเสียเลือดมาก จึงสิ้นลมหายใจด้วยความทุกข์ทรมานที่ข้างถนนในหมู่บ้านนั่นเอง!! นี่คืออีกหนึ่งผลกรรมจากการดื่มเหล้าที่ทำให้ต้องตายอย่างหมาข้างถนน การดื่มเหล้าจึงเป็นหนทางแห่งความเสื่อมโดยแท้ ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมของตัวผู้ดื่มเองหรือของคนรอบข้างก็ตาม ปัญหาของสังคมที่มีผลอันเกิดจากการดื่มเหล้านั้นมีจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการทะเลาะวิวาท การข่มขืน การขับรถด้วยความประมาท รวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ซึ่งทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณมากมายในการเยียวยารักษา นี่ก็เข้าพรรษาแล้ว จงลด ละ และเลิกเหล้าเสีย ผู้มีปัญญาจงหลีกให้ไกลห่างจากความเสื่อมเหล่านี้ เพราะการดื่มเหล้ามีแต่จะนำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้ แต่หากยังหลงมัวเมาอยู่ นอกจากจะทำให้ได้รับผลในชาตินี้แล้ว ในชาติหน้าก็ยังจะทำให้ตกนรกอีกด้วย (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 117 สิงหาคม 2553 โดย มาลาวชิโร) ที่มา http://www.bunnarak.com/index.php?topic=399.0

สีผิวของมนุษย์ ถูกกำหนดด้วยกรรมอะไร

ถาม – ผิวสีถูกกำหนดขึ้นจากกรรมอะไรคะ? มีปัจจัยหลายประการครับ ถ้าพูดแบบผิวเผินที่สุด สีของผิวกายในปัจจุบันชาติ สะท้อนให้เห็นสีของจิตในอดีตชาติ ถ้าสั่งสมกรรมชนิดที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นเมตตามากๆ ผิวพรรณก็จะออกแนวโน้มไปทางขาวละเอียด แต่ถ้าสั่งสมกรรมชนิดที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นพยาบาทมากๆ ผิวพรรณก็จะออกแนวโน้มไปทางดำกระด้าง คุณสมบัติหลักๆอันเป็นเครื่องชี้ว่าจิตมีเมตตาสูง ได้แก่ ความเป็นคนโกรธยากหายง่าย และเป็นผู้สละให้คนอื่นง่ายแต่กอบโกยเข้าตัวยาก การมีเมตตาสูงมิใช่สิ่งที่จงใจกำหนดได้เองลอยๆ แต่ต้องเป็นผู้กระทำกรรมทางกาย วาจา ใจในทางเป็นกุศล ดังนี้ ๑) ความคิดในเชิงสละมลทินออกจากจิต นับแต่ความคิดสละความตระหนี่ ความคิดสละความผูกใจเจ็บแค้นอาฆาต และความคิดสละความเห็นผิดทำนองคลองธรรม นอกจากนี้ยังมีทางลัดแบบภิกษุในพุทธศาสนา คือเจริญเมตตา ตั้งจิตไว้เป็นสุขอย่างใหญ่ แล้วแผ่ไปไม่มีประมาณ กระทั่งเป็นอัปปมัญญา คือรวมจิตถึงฌานด้วยอำนาจความสุขที่แผ่ไปทั่วทุกทิศอย่างไร้ขอบเขตนั้น หากเจริญเมตตาได้เป็นปกติตลอดชีวิต ก็ยากที่จะเกิดโทสะเปื้อนจิตได้เกินอึดใจ อย่าว่าแต่จะยกระดับขึ้นเป็นความอาฆาตพยาบาทยืดเยื้อยาวนาน ๒) คำพูดในเชิงประนีประนอมประสานประโยชน์ นับแต่คำพูดถึงความจริงอย่างตรงไปตรงมา คำพูดที่ไพเราะเสนาะหู คำพูดที่นุ่มนวลปราศจากการให้ร้าย และคำพูดที่เปี่ยมด้วยสติไม่เพ้อเจ้อเลอะเทอะ วจีกรรมที่ขาวสะอาดจะปรุงแต่งจิตให้ขาวสะอาดตามไปด้วย และเป็นที่ตั้งแห่งพยาบาทได้ยากเช่นกัน ๓) การกระทำในเชิงให้คุณ นับแต่การเก็บมือไม้และกายส่วนต่างๆไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่นในทางใดทางหนึ่ง ไปจนกระทั่งการใช้มือไม้และกายส่วนต่างๆสงเคราะห์ผู้ต้องการความช่วยเหลือ แม้เมื่อให้ทานยังค้อมหลังก้มลงให้ ไม่ใช่โยนให้อย่างเศษเดน ความนุ่มนวลทางกิริยาจะปรุงแต่งจิตให้โน้มน้อมไปในทางถ่อมตน ปราศจากความกระด้าง เป็นปฏิปักษ์กันกับนิสัยก้าวร้าว ไม่เป็นที่ตั้งของโทสะและพยาบาท
กรรมขาวที่กล่าวมาข้างต้นจะทำให้ ‘ใจดี’ มีประกายเมตตา มีความขาว ซึ่งยิ่งประกอบกันมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้นิมิตของ ‘กายใน’ เป็นไปในทางขาวมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเกิดใหม่จริง พลังกรรมก็จะรวมตัวไปคุมรูปร่างและผิวพรรณวรรณะให้เหมือนกายในดังกล่าวนั่นเอง ส่วนคุณสมบัติหลักๆอันเป็นเครื่องชี้ว่าจิตมีความพยาบาทสูง ได้แก่ ความเป็นคนโกรธง่ายหายช้า และเป็นผู้สละให้คนอื่นยากแต่กอบโกยเข้าตัวง่าย การมีความพยาบาทสูงมิใช่สิ่งที่จงใจกำหนดได้เองลอยๆ แต่ต้องเป็นผู้กระทำกรรมทางกาย วาจา ใจในทางเป็นอกุศล ดังนี้ ๑) ความคิดในเชิงสะสมมลทินเข้าจิต นับแต่ความคิดโลภเอาเข้าตัว ความคิดผูกใจเจ็บไม่เลิก และความคิดหลงสำคัญผิดอันเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่านแส่ส่าย ความมืดดำเป็นอกุศล นอกจากนี้ยังมีทางด่วนพิเศษไปสู่ความหายนะทางจิต คือเลือกเชื่อ หรือปลูกฝังความเชื่อตามลัทธิที่ชักชวนให้หลงผิด เช่น ร่ำเรียนไสยดำ นับถือบูชายักษ์มารเป็นสรณะ ปฏิเสธบุญคุณพ่อแม่แต่หันไปเลื่อมใสบุญคุณเทพหรือเจ้าลัทธิแทน ความหลงผิดจะทำให้จิตมืด จิตมืดจะเป็นที่ตั้งของโทสะและพยาบาทได้ง่าย ๒) คำพูดในเชิงก่อโทษและเพิ่มรอยร้าว นับแต่คำพูดบิดเบือนความจริง คำพูดก้าวร้าวหยาบคาย คำพูดให้ร้าย และคำพูดไร้สติที่ทำให้ใจเราใจเขาพล่านไปอย่างปราศจากทิศทาง วจีกรรมที่ดำสกปรกจะปรุงแต่งจิตให้ดำสกปรกตามไปด้วย และเป็นที่ตั้งแห่งพยาบาทได้ง่ายเช่นกัน ๓) การกระทำในเชิงให้โทษ นับแต่การลงไม้ลงมือเบียดเบียนผู้อื่นในทางใดทางหนึ่ง ไปจนกระทั่งการเก็บมือเก็บไม้ไม่ยอมสงเคราะห์ผู้ต้องการความช่วยเหลือ การเคลื่อนไหวแบบผลุนผลันปึงปัง การนิยมวิธีใช้กำลังบังคับผู้อ่อนแอกว่า ก็ล้วนเป็นที่มาของใจกระด้างกระเดื่อง เป็นมิ่งมิตรกันกับนิสัยก้าวร้าว เป็นที่ตั้งอันมั่นคงของโทสะและพยาบาท
กรรมดำที่กล่าวมาจะทำให้ ‘ใจดำ’ มีความมืดชนิดแผ่รังสีอำมหิต ซึ่งยิ่งหนาแน่นเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้นิมิตของ ‘กายใน’ เป็นไปในทางดำมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเกิดใหม่จริง พลังกรรมก็จะรวมตัวไปคุมรูปร่างและผิวพรรณวรรณะให้เหมือนกายในดังกล่าวนั่นเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นนะครับ ต้องกล่าวว่า ถ้า ‘กายใน’ เสื่อมลงหรือเจริญขึ้น ขัดแย้งกับ ‘ของเก่า’ อย่างเห็นได้ชัด คุณไม่ต้องรอเกิดครั้งหน้าก็สามารถเห็นเค้านิมิตกายใหม่ได้ผ่านผิวพรรณนี่เอง เท่าที่ผมเห็นกับตามาหลายครั้งนะครับ บางคนนี่แรกๆดูดำๆสกปรก หรือแม้ผิวขาวก็ดูหมองไร้ราศี พอหันมาศรัทธากรรมวิบาก หมั่นให้ทานรักษาศีลเป็นนิตย์ ผิวพรรณก็เปล่งปลั่งสดใสขึ้นชนิดคนรอบข้างอ้าปากหวอกันเป็นแถว ยิ่งถ้าบุญเก่าดีอยู่แล้ว และมาตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม ไม่ผิดศีลแม้ด้วยความคิด ก็แทบเห็นจะจะชนิด ‘ขาวด้วยบุญใหญ่ข้ามคืน’ กันเลยทีเดียว กล่าวโดยสรุป ถ้าจิตกระเดียดไปทางอารมณ์ดี จะมีกระแสเมตตาคุมรูปให้ขาวละเอียด สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความไม่ถือโกรธมีวิบากเป็นผิวพรรณประณีต ถ้าจิตกระเดียดไปทางเจ้าโทสะ จะมีกระแสอาฆาตคุมรูปให้ดำกระด้าง สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความมักโกรธมีวิบากเป็นผิวพรรณทราม
ถาม – ผิวขาวกับผิวดำมีหลายแบบ ขาวซีดก็มี ขาวอมชมพูก็มี ดำน่าเกลียดก็มี ดำเนียนตาก็มี อย่างนี้ขึ้นอยู่กับความต่างของเมตตาหรือพยาบาทอย่างไรคะ? ขอจำแนกลักษณะผิวเป็นข้อๆพร้อมกรรมอันเป็นต้นเค้าดังนี้ครับ ๑) ผิวขาวเผือด เกิดจากการมีความโกรธเบาบาง ไม่ค่อยผูกพยาบาท ทว่าขณะเดียวกันก็เมตตาแบบงั้นๆ คือไม่ได้มีความรักเอ็นดูในเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งคนและสัตว์สักเท่าไร ๒) ผิวขาวอมชมพู เกิดจากการมีจิตฝักใฝ่ในเมตตาธรรม และเป็นเมตตาที่ทอรัศมีออกมาจากความเอ็นดูรักใคร่คนและสัตว์อย่างลึกซึ้ง ขอให้สังเกตว่าคนผิวขาวสวย มักมีเนื้อหนังนุ่มแน่นและเนียนละเอียดเหมือนแผ่นหยกด้วย ผู้มีความสมบูรณ์แบบทางผิวพรรณชนิดไร้ที่ติประเภทนี้ จะสะท้อนอดีตกรรมในปางก่อน คือเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาอย่างไร้ที่ติตลอดชีวิต จึงมีกำลังส่งจากกรรมเก่าคุมรูปให้ขาวสวยอย่างยืดเยื้อยาวนาน แม้พลาดพลั้งทำบาปอกุศลก็ไม่เห็นผลเปลี่ยนแปลงเป็นความเสื่อมโทรมคล้ำหมองของผิวง่ายนัก ๓) ผิวดำขำ เกิดจากการมีเมตตาที่เจืออยู่ด้วยโทสะอ่อนๆ ขอให้นึกถึงคนปากร้ายใจดี ซึ่งก็แยกย่อยได้อีกหลายแบบ ปากร้ายน้อยใจดีมาก ปากร้ายมากใจดีน้อย ถ้าปกติใจดีแบบเยือกเย็น ก็จะเป็นตัวกำหนดความเนียนของผิวมากเป็นพิเศษ
๔) ผิวดำน่าเกลียด เกิดจากการมีแต่โทสะท่าเดียว หาเมตตาทำยายาก ขอให้นึกถึงคนใจร้าย มักโกรธ โกรธง่ายหายช้า คุณจะไม่นึกไม่ออกเลยว่าจิตใจเขามีความสว่างหรือมีความเย็นกับใครได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใจร้ายแล้วปากยังพ่นเป็นแต่คำหยาบคาย ชาติถัดมาจะมีผิวพรรณทรามถึงขั้นรู้สึกเป็นปมด้อย หรือกระทั่งเป็นโรคผิวหนังบางอย่างที่ส่งกลิ่นเหม็นผิดปกติ ชำระให้สะอาดหรือประพรมให้หอมได้ยาก ขอให้สังเกตว่าบางคนทั้งผิวทั้งกลิ่นปากจะน่ารังเกียจควบคู่กัน นั่นก็เพราะกรรมทางวาจาบางอย่างมีวิบากแรง แสดงผลทั้งทางผิวหนังและกลิ่นปากอย่างชัดเจน นอกจากนี้ แม้หันมาใฝ่ใจทำทานรักษาศีล ก็อาจต้องใช้เวลา หรือต้องใช้กำลังใจมากหน่อย ผิวพรรณจึงจะดูเปล่งปลั่งขึ้นได้ด้วยรัศมีบุญใหม่ ๕) ผิวไม่ดำไม่ขาว ไม่งามไม่น่าเกลียด คือเป็นกลางๆ เกิดจากการมีเมตตาและพยาบาทในแบบที่คาดเดาได้ เรียกว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรก็ใจดีใจร้ายตามกระแสโลกไปเรื่อย ไม่มีการควบคุมตัวเอง ไม่มีหลักการใดเป็นพิเศษ เช่น ถ้าโดนด่าแรงๆก็จะโกรธแรงและผูกใจเจ็บแรง พอเขามาง้อหรือขอโทษก็ค่อยอโหสิให้ แตกต่างจากพวกใจดี ที่แม้โดนเล่นงานก่อนก็ทำใจอภัยได้เอง โดยไม่ต้องมีใครมาขอโทษ แล้วก็แตกต่างจากพวกใจร้าย ที่แม้ใครทำดีให้ก็อาจหมั่นไส้ จับผิดเพ่งโทษได้ สำหรับผิวเป็นกลางๆนี้ก็คือคนทั่วไปในระดับเฉลี่ย แปรปรวนตามกรรมใหม่ง่าย คือถ้าทำบาปมากๆผิวอาจแปรเป็นหมองคล้ำอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าทำบุญใหญ่ๆผิวอาจผุดผาดขึ้นทันตา

ตะพาบ เรื่องเล่า : บันทึกกฎแห่งกรรม

ลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้าคนหนึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลของรัฐบาล (ในต่างจังหวัด) เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งมีโอกาส ไปเยี่ยมเยียน หมอ น้องชาย เล่าเรื่องแปลก ๆ ของคนไข้รายหนึ่งให้ฟัง จึงขอเล่าสู่กันฟังต่อ... โรงพยาบาลแห่งนั้น เป็นโรงพยาบาลขนาดกลางประจำอำเภอ ซึ่งมีคนไข้ไม่มาก เพราะถ้าเป็นคนที่พอมีฐานะ สักหน่อย หากมีอาการน่าเป็นห่วง ก็มักจะส่งตรงไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด หรือโรงพยาลบาลใหญ่ ๆ ในกรุงเทพ ฯ ฉะนั้น หมอน้องชาย จึงต้องรับหน้าที่เป็นทั้งผู้อำนวยการโรงพยาบาล เป็นแพทย์เฉพาะทาง (ทุกโรค) เป็นศัลยแพทย์ผ่าตัด และ แม้กระทั่งเป็นแพทย์เวร จากการสนทนาตอนหนึ่ง หมอน้องชายเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เป็นหมอมา ไม่เคยเห็นผู้ป่วยรายใด ต้องผ่าตัดทุลักทุเล ซ้ำซาก อย่างนี้เลย สามปีต้องตัดห้าครั้ง และทนหนักหนายิ่งขึ้นทุกครั้ง ผู้ป่วยรายนี้ชื่อ "บุญมา" ครั้งแรกเข้าโรงพยาบาล ก็เพื่อมาทำแผลนิ้วก้อย (นิ้วเท้า) ที่ถูกตะพาบน้ำกัด หมอให้ทายา กินยาแก้ปวด แก้อักเสบ แล้วให้กลับบ้านได้ ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ครึ่งเดือนต่อมา บุญมากลับมาใหม่ แผลเก่าอักเสบรุนแรงบวมใหญ่ หมอตรวจพบว่า เชื้อโรคกินเข้ากระดูก ถึงขั้น จะต้องตัดนิ้วเท้า เพื่อไม่ให้เน่าลุกลาม จนอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ หลังจากนั้นครึ่งปี บุญมาไปเที่ยวทะเล เขาถูกตะพาบกัดที่นิ้วเท้าอีก อะไรจะบังเอิญได้ถึงขนาดนั้น นิ้วเท้าของ บุญมา ซึ่งถูกตะพาบน้ำกัดครั้งที่สอง อักเสบบวมภายในเวลาไม่ถึงสองวัน เมื่อฉายเอ็กซเรย์ก็พบว่า เชื้อโรคกิน เข้าไป ถึงกระดูก จึงต้องตัดนิ้วเท้าของเขาไปอีกหนึ่งนิ้ว เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี นายบุญมากลับมาที่โรงพยาบาล ครั้งนี้แผลเก่าทั้งสองแห่งเกิดอักเสบบวมใหญ่ขึ้นมาพร้อม ๆ กัน พอเอ็กซเรย์ก็พบว่าแย่แล้ว ! เชื้อโรคแพร่เข้าไปกินกระดูกอย่างรุนแรง ลึกมาก เชื้อโรคนั้นกำลังก่อตัว คล้ายมะเร็ง จะต้องตัดฝ่าเท้าออกให้หมด ก่อนที่จะลุกลามไปกันใหญ่ บุญมาต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ถึงยี่สิบกว่าวัน ด้วยสภาพของ ผู้ป่วยอวัยวะด้วน วันหนึ่งลูกชายของญาตินายบุญมาอุปสมบท เขาจึงไปช่วยงาน คืนนั้นผู้ร่วมงานบวชนอนค้างที่วัดกันสี่ห้าสิบคน เคราะห์ หามยามร้ายของบุญมายังไม่จบสิ้น หนูตัวหนึ่งเจาะจงมากัดตรงขาด้วน ๆ ของเขาคนเดียว คนอื่น ๆ ตั้งมากมาย ก็ไม่เห็นโดนอะไร หนูกัดแล้วก็หนีไป บุญมาสะดุ้งตื่นด้วยความเจ็บปวด คนที่นอนอยู่ด้วย กันตกใจ กับเสียงร้อง พากันตื่นหมด แผลที่หนูกัดไม่กว้าง ไม่ลึกนัก มีเลือดซึมออกมาเพียงเล็กน้อย แต่ทุกคนก็พา กันตกใจที่อยู่ดี ๆ ทำไม จึงมีหนูมากัดคนนอนหลับ เห็นแต่หนูมักจะกัดกินก็เฉพาะศพเท่านั้น หนูไม่นิยมกัดกิน คนเป็น ๆ บุญมาขวัญเสียเป็น อันมาก เขาถูกเคราะหฺ์กรรมซ้ำเติมจนคิดว่าตนคงจะต้องตายในไม่ช้านี้ มันทารุณ จิตใจตลอดเวลา ไม่นานต่อมา ก็เกิดอาการเจ็บคันบริเวณแผลเก่าที่เท้าอีก บุญมาจึงรีบไปหาหมอโดยเร็ว ผลการฉายเอ็กซเรย์ครั้งนี้ ปรากฎว่า เชื้อมะเร็งลามลึกเข้าไปอย่างมาก จำเป็นต้องจัดการตัดขาทั้งท่อนทิ้งไป หมอน้องชายซึ่งเป็นเจ้าของไข้ แปลกใจ ในชะตากรรมของบุญมายิ่งนัก จึงพูดคุยซักถามประวัติอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ได้ความว่า บุญมาชายอายุสี่สิบสามปี อาชีพเกษตรกรรม และรับจ้างก่อสร้าง ชอบดื่มเหล้าเป็นประจำ ชอบแกล้มเหล้า ด้วย ปลาน้ำจึด โดยเฉพาะชอบกินเต่า กินตะพาบ บุญมาเคยได้ยินมาและเป็นความเชื่อฝังใจว่า ใครกินตะพาบน้ำ ได้ถึง ยี่สิบตัวแล้ว ตลอดชีวิตจะไม่เป็นโรคไขข้ออักเสบเลย อีกทั้งยังช่วยบำรุงไต บุญมาจึงเพียรหาตะพาบน้ำ มาผัดเผ็ด แกล้มเหล้าขาวกิน บุญมากินตะพาบน้ำมาแล้วไม่ใช่แค่ยี่สิบตัว แต่กินมาเป็นเวลาเกือบยี่สิบปี ซึ่งนับไม่ถ้วนว่าที่ผ่านมา กินเข้าไปได้ กี่ตัวกันแน่ บุญมาเล่าว่าวันหนึ่ง เขาซื้อตะพาบน้ำตัวใหญ่มาจากตลาด ตะพาบน้ำตัวนี้น้ำหนักตั้งสิบกว่ากิโลกรัม เขาดีใจมาก ตัวใหญ่ขนาดนี้ ฆ่ากินทีเดียวไม่หมด จะต้องค่อย ๆ กิน ที่บ้านไม่มีตู้เย็นให้แช่เก็บได้ จึงต้องกินผ่อน ทีละน้อย ตะพาบเป็นสัตว์อายุยืน อดทนมาก ไม่ตายง่าย ๆ ไม่ว่าจะถูกกักขังอยู่ในสภาพใด ก็อดทนสามารถรักษา ชีวิต อยู่ได้เป็นปี บุญมาแค่เห็นแก่กิน ไม่นึกถึงว่าตะพาบจะต้องทนทุกข์ทรมาน ต้องเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างไร ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาตัดเฉือนเนื้อตะพาบตามส่วนต่าง ๆ ทีละชิ้น ๆ อย่างบรรจงมา ปรุงอาหารตามความพอใจ บาดแผล รอบตัวตะพาบ เขาทาด้วยปูนแดงที่กินกับหมากเพื่อไม่ให้เนื้อที่ตัวตะพาบเน่า ตะพาบตัวนั้นต้องทน ทุกข์ทรมานอยู่นาน กว่าครึ่งเดือน จากนั้นบุญมาจึงประหารตะพาบเอามากินเป็นมื้อสุดท้าย บุญมาพอใจ กับวิธี ที่ได้กินเนื้อตะพาบแบบสด ๆ ทุกวัน ผลสรุปประวัติผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบันทึกไว้ในตอนท้าย มีอยู่ประโยคหนึ่งว่า... เป็นประวัติที่แสดงให้เห็นเหมือนกรรมตามทันอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ไม่มีข้อสรุปชัดเจนในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปัจจุบัน ซึ่งอยากจะเล่าเอาไว้ตรงนี้ น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้คนละบาปได้ดี... กรรมมีอยู่ กมฺมํ เหตุแห่งกรรมมีอยู่ กมฺมสมุทฺโย การดับกรรมมีอยู่ กมฺมนิโรโธ หนทางดับกรรมก็มีอยู่ กมฺมมคฺโค พุทธวจนะ

ผลกรรมจากการลวกหอยแครง...(นางกมลวรรณ อารีพันธ์)

ดิฉัน นางกมลวรรณ อารีพันธ์ มีอาชีพรับจ้าง ตัดเย็บเสื้อผ้า มีสามีเมื่ออายุ ๒๕ ปี ชีวิตครอบครัวไม่ราบรื่น มีแต่ปัญหา เคยไปหาหมอดู หมอดูบอกว่า เคยทำบาป เมื่อชาติที่แล้ว จะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีทางแก้ไข ดิฉันก็อดทนทุกๆ ครั้งที่มีปัญหา คิดเสียว่าใช้กรรมที่ทำมา แต่พอมามีลูกคนเล็ก ก็มีปัญหาในครอบครัวมากขึ้นๆ จนทนแทบจะไม่ไหว แต่ก็ต้องอดทนจนลูกคนเล็กมีอายุ ๘ ปี ปัญหาก็ไม่จบ จนต้องแยกทางกัน พ่อบ้านได้ขายบ้าน เพราะไม่มีเงินใช้ให้ลูกเรียนหนังสือ และได้มาอาศัยญาติอยู่ ลูกคนเล็ก ก็ยังสร้างปัญหาให้อีกมากมาย ส่งให้เรียนหนังสือ ก็ไม่เรียน ไปเรียนวิชาที่สังคมเขาไม่เรียนกัน จวบจนปี พ.ศ.๒๕๓๘ แม่ของดิฉัน ก็ล้มป่วย เดินไม่ได้ ความชราภาพทำให้เหมือนเด็กเล็กๆ ดิฉันต้องดูแลแม่ และต้องติดตามลูกคนเล็ก ว่าไปทำอะไร อยู่ที่ไหน เงินก็ไม่มี ต่อมาก็ถูกญาติที่เราอาศัยอยู่ไล่ออกจากบ้าน เลยไปอยู่กับลูกชายคนโต ที่ชลบุรี ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๐ ได้พบเพื่อนบ้านเดินมาทักทาย และคุย เรื่องหลวงพ่อจรัญ ให้ฟัง และเอาหนังสือสวดมนต์ มาให้โดยบอกว่าบทสวดมนต์ ของหลวงพ่อจรัญ แล้วจะดีเอง ดิฉันฟังแล้วจิตตั้งใจว่า จะมากราบหลวงพ่อจรัญ ที่วัดอัมพวัน แต่ดิฉันก็ยังไม่มีโอกาส ได้แต่สวดมนต์ บทสวดมนต์ที่สวด ก็สวดผิดบ้าง ถูกบ้าง โดยตั้งจิตอธิษฐาน ให้หลวงพ่อจรัญ ช่วย ถ้าหากแม่ของดิฉันหมดอายุไข ก็ขอให้ไปอย่างสงบ ถ้าแม่ยังไม่หมดอายุไข ก็ขอให้แม่มีร่างกาย และจิตใจดีขึ้น ดิฉันได้สวดมนต์ แล้วจิตสงบดีขึ้นมาก สวดมนต์ได้ ๕ เดือน แม่ก็สิ้นใจไปอย่างสงบ ดิฉันจึงได้เดินทางมาที่วัดอัมพวัน เข้าปฏิบัติธรรม เมื่อเดือน กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๑ โดยมาหลายๆ ครั้ง ก็ยังไม่เห็นลูกชายจะดีขึ้น เลยชักเบื่อและหมดความอดทน มีอยู่มาวันหนึ่ง ได้พบคุณพานิช และคุณจินตนา ทั้งสองท่านได้บอกให้ดิฉันอดทนอีกหน่อย และท่านทั้งสองก็ได้พาดิฉันเข้ากราบหลวงพ่อ ดิฉันได้กราบเรียนเรื่องลูกชายคนเล็กให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านเทศน์บอกว่า ไม่เป็นไร ดิฉันไปปฏิบัติเข้าปีที่สอง ได้เห็นและรู้ว่า เราได้ทำบาปไว้ เมื่อก่อนชอบลวก แล้วใช้แปรงทองเหลืองปัดหอยแครง ให้สามีรับประทานกับเหล้า เป็นประจำ หอยแครงมาเข้าฝัน มาเป็นล้านๆ ตัว อ้าปากแดง ร้องอี๊ด อ๊าด แล้วลูกก็ป่วยเป็นเหมือนถูกน้ำร้อยลวก ดำๆ แดงๆ เป็นทั้งตัว ป่วยหลายเดือน กว่าจะหาย ดิฉันได้ปฏิบัติธรรมแล้วก็ขออโหสิกรรม แผ่เมตตาไปให้หอยแครง เสียค่าใช้จ่ายไปกับลูกคนเล็กเป็นแสน ก็ไม่ดีขึ้นได้ อานิสงส์ของการสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม และคำสอนของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ลูกของดิฉันทั้งสองคนจึงดีขึ้น ได้ทำงานที่ดี จนทุกวันนี้ดิฉันสบายใจ สบายกาย ลูกได้ส่งเงินมาให้ดิฉันใช้ทุกๆ เดือน ดิฉันมีเงินเพื่อเป็นค่ารถ และค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาปฏิบัติธรรมได้ต่อเนื่อง ที่วัดอัมพวันตลอดมา ทำให้ดิฉันและครอบครัวมีความสงบสุข นางกมลวรรณ อารีพันธ์ ๕๖/๑๑๕ หมู่บ้านศรีบัณฑิตการ์เด้นวิลด์ ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ ๐-๒๔๔๗-๑๒๗๘, ๐-๒๘๘๓-๗๕๐๓ คัดลอกจาก...กฎแห่งกรรม - ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๗ http://jarun.org

ทำบุญให้พ่อแม่ผู้ล่วงลับ เขาจะได้รับหรือเปล่า - หลวงปู่เทสก์

คัดมาบางส่วนจากหนังสือ "ปุจฉาวิสัชนาในประเทศ" โดย พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์ (หลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี) ปล. ผู้โพสต์ได้จัดหน้าใหม่ บรรดาตัวเน้นเส้นใต้ทั้งหลาย ล้วนเป้นฝีมื่อผู้โพสต์ดัดแปลงเพื่อให้อ่านง่าย และเน้นสิ่งสำคัญ หากต้องการต้นฉบับ PDF ซึ่งถูกออกแบบมาให้พร้อมพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ ก็ขอเชิญที่นี้ http://www.hinmarkpeng.org/dhamma01.html (๑) ถาม การทำบุญอุทิศให้ผู้มีพระคุณทั้งหลายมีมารดาบิดาเป็นต้น ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับบุญเหล่านั้นจะเป็นของใคร (๑) ตอบ ปัญหาเรื่องนี้กินความกว้างขวางมาก มีผู้ถามปัญหาข้อนี้กับผู้เขียนตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณรอยู่ จนมาได้บวชพระนับเป็นเวลา ๖๐ กว่าปี แล้วก็ยังมีคนถามอยู่ นี่แหละผู้เขียนหวังว่าถึงผู้เขียนตายไปแล้ว ถ้ายังมีการทำบุญให้ผู้ตายไปแล้วอยู่ คงจะมีปัญหาอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้เขียนจะตั้งประเด็นไว้เป็นข้อๆ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย และกันความหลงลืมดังนี้ ๑.๑ ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว ๑.๒ ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า ๑.๓ ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับ บุญอันนั้นจะเป็นของใคร ๑.๑ ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว ๑.๑ ผู้ทำบุญโดยส่วนมาก ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เพื่ออุทิศแก่ผู้มีพระคุณทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้น ชาวพุทธมีดีตรงนี้แหละ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณทั้งหลาย แล้วทำดีเพื่อสนองพระคุณของท่านเหล่านั้น ถ้าไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้ว คนเราก็จะกลายเป็นเดรัจฉานไปหมด การทำความดี คือ บุญกุศลนี้ย่อมทำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนและคนอื่น ทำในที่เปิดเผย ไม่ทำในที่ลับด้วยและทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เหมือนกับคนที่ทำความชั่ว ทำความชั่วนั้นทำด้วยความเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส และก็ทำในที่ลับไม่เปิดเผยด้วย ทั้งไม่อุทิศส่วนบาปนั้นให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งหลาย ถึงแม้อุทิศให้แก่ใครก็ไม่มีใครอยากรับ เพราะเป็นของเศร้าหมอง ทำบุญให้แก่ผู้มีพระคุณที่ตายไปแล้วนี้ จงทำด้วยของบริสุทธิ์ อย่าไปฆ่าเป็ด ไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายมาทำ จะบาปหนักเข้าไป อีกทำเล็กๆ น้อยๆ ด้วยใจผ่องใสบริสุทธิ์ เป็นต้นว่าตักบาตรถวายอาหารพระสงฆ์ บุญก็มากเอง บุญมิใช่เกิดเพราะไทยทานมากๆแต่เกิดขึ้นจากใจเลื่อมใสศรัทธาต่างหาก เปรียบเหมือนเทียนที่เรามีอยู่แล้วไปขอต่อจากคนอื่น เทียนของคนอื่นก็ไม่ดับ ของเราก็ได้ไฟสว่างมา เหตุนั้นบุญในพุทธศาสนาจึงหมดไม่เป็น คนมากี่ร้อยกี่พัน เอาหัวใจของตนมาตักตวงเอา บุญในพุทธศาสนานี้ก็ไม่มีหมด บุญยังเต็มเปี่ยมอยู่ตามเดิม ถ้าทำด้วยความเลื่อมใสแล้ว วัตถุทานมีน้อยก็กลายเป็นของมากเอง ๑.๒ ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า เรื่องนี้เป็นของพูดยาก เพราะผู้ที่ตายไปแล้วก็ไม่ได้ตอบรับเหมือนเราส่งจดหมายไปหากัน อนึ่ง บุญนั้นก็มิใช่จะส่งไปได้อย่างพัสดุไปรษณีย์เพราะเป็นของไม่มีตัวตน เป็นความรู้สึกภายในใจว่าบุญที่ตนทำนี้ต้องถึงผู้ตายไปแน่ และเราเชื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า ทำบุญให้แก่ผู้ตายไปแล้วต้องทำในพระภิกษุผู้มีศีลและเมื่อต้องการอยากจะให้เขาได้บริโภคอาหาร ก็ ต้องทำบุญถวายอาหารเมื่อต้องการอยากจะให้เขาได้เครื่องนุ่งของห่ม ก็ถวายผ้าผ่อนเครื่องนุ่งของห่ม แล้วอุทิศ กุศลนั้นไปให้แก่เขาเหล่านั้น แล้วของเหล่านั้นก็จะปรากฏแก่เขาเหล่านั้นเองโดยที่ไม่มีใครนำไปให้เขา ๑.๓ ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับ บุญอันนั้นจะเป็นของใคร เรื่องนี้บอกได้ชัดเลยว่า บุญเป็นของผู้ทำแน่นอนเพราะผู้ทำเกิดศรัทธาเลื่อมใสพอใจในการกระทำบุญ บุญก็ต้องเกิดในหัวใจของผู้นั้นเสียก่อนแล้วอุทิศส่วนบุญนั้นให้แก่ผู้มีอุปการะคุณที่ตายไปแล้ว ได้ชื่อว่าทำบุญสองต่อ คือเราได้ทำบุญแล้วเพราะศรัทธาเลื่อมใสจึงทำบุญ แล้วเราอุทิศส่วนบุญนั้นไปให้แก่ผู้ตายไปอีก เป็นอีกต่อหนึ่ง ทำบุญให้ผู้ตายนี้ท่านแสดงไว้ว่ายากนักผู้ที่ตายจะได้รับ เหมือนกับงมเข็มอยู่ในก้นบ่อ แต่ผู้ยังมีชีวิตอยู่ก็ชอบทำ นับว่าเป็นความดีของผู้นั้นอย่างยิ่ง ท่านเปรียบไว้ สมมุติว่าบุญที่ทำลงไปนั้นแบ่งออกเป็น ๑๖ ส่วน แล้วเอาส่วนที่ ๑๖ นั้นมาแบ่งอีก ๑๖ ส่วน ผู้ตายไปจะได้รับเพียง ๑ ส่วน เท่านั้น ฟังดูแล้วน่าใจหาย เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงไม่ควรประมาท ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้มีสิ่งใดควรจะทำก็ให้รีบทำเสียตายไปแล้วเขาทำบุญไปให้ไม่ทราบว่าจะได้รับหรือไม่ ถึงแม้ได้รับก็น้อยเหลือเกิน เพราะคนตายแล้ว เขาเรียกว่าเปรต ไม่ได้เรียกว่า บิดา มารดา ป้า น้า อาว์ ครูบาอาจารย์ อย่างเมื่อเป็นมนุษย์อยู่นี้หรอก ในบรรดาเปรตเหล่านั้นมี ๑๑ พวก มีจำพวกเดียวที่จะได้รับส่วนบุญที่คนยังมีชีวิตอยู่อุทิศไปให้ เรียกว่า ชีวิตูปรัตตเปรต เปรตจำพวกนี้ได้รับทุกข์ร้อนลำบากมาก เพราะในเปรตโลกนั้นไม่มีการทำนาค้าขาย แม้แต่ขอทานก็ไม่มี เสวยผลกรรมของตนๆที่ทำไว้ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่นี้เท่านั้น ฉะนั้นเปรตจำพวกนี้แหละมนุษย์คนที่ยังเป็นอยู่ทำบุญอุทิศไปให้จึงจะได้รับ เปรตนอกนั้นแล้วไม่ได้รับเลย เช่น ตายไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้รับ นับประสาอะไร บางทีสามีภรรยานอนอยู่ด้วยกันแท้ๆ ฝ่ายหนึ่งทำบุญขอให้อีกฝ่ายหนึ่งอนุโมทนาด้วย ก็ไม่รับ พวกที่ไปเกิดเป็นเดรัจฉานยิ่งไม่รู้กันใหญ่ ไปเกิดในนรกหมกไหม้ทุกขเวทนามาก ทำบุญอุทิศไปให้ก็ไม่รู้อะไร เพราะกำลังเสวยผลกรรมอันนั้นอยู่ หรือไปเกิดเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่งก็เหมือนกัน เขากำลังเสวยผลบุญของเขาอยู่ เขาจะมาเอากุศลผลบุญของเราได้อย่างไร ชีวิตูปรัตตเปรต ดังเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่พระเจ้าพิมพิสารเกิดอาเพทตอนกลางคืน มีเสียงดัง ขลุกๆ ขลักๆ ทั่วไปหมดในห้องพระตำหนัก พระเจ้าพิมพิสารกลัวจะเกิดเหตุเป็นอันตรายแก่ราชบัลลังก์ จึงเข้าไปกราบทูลเหตุอันนั้นแก่พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า ไม่มีอันใดเลย พวกเปรตที่เป็นญาติของพระองค์แต่ครั้งพระพุทธเจ้าชื่อว่า พระวิปัสสี โน่น เขามาขอส่วนบุญกับพระองค์ ขอมหาบพิตรจงทำบุญให้เขาแล้วอุทิศส่วนบุญนั้นให้เขาเสีย เสียงนั้นก็จะหายไป พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงกระทำ ทักษิณานุประทาน ทำบุญอุทิศให้แก่เปรตเหล่านั้นแล้ว พวกเปรตเหล่านั้นได้รับส่วนบุญแล้วก็มีกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีผ้าเครื่องนุ่งห่ม ทีหลังก็มาปรากฏให้พระเจ้าพิมพิสารเห็นอีก พระเจ้าพิมพิสารก็นำเอาเรื่องพฤติการณ์อันเปรตมาแสดงนั้น ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าอีก พระองค์จึงตรัสว่า เพราะมหาบพิตรไม่ได้ทำบุญผ้า พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงทำบุญถวายผ้าแก่พระสงฆ์ และอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่เปรตเหล่านั้น พอเปรตเหล่านั้นได้รับแล้วก็ไปเกิดในสุคติภพในสวรรค์ ที่มาเล่าสู่กันฟังพอเป็นทัศนคติที่ว่า ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้วจะได้รับหรือไม่ เพราะผู้เขียนก็ไม่สามารถจะไปล่วงรู้เขาได้ และผู้ตายไปแล้ว แม้แต่โยมบิดามารดาของผู้เขียนก็ไม่เคยบอกว่า บุญที่ทำแล้วอุทิศไปให้ได้รับหรือเปล่า แต่ผู้เขียนก็ทำบุญอุทิศไปให้เสมอเป็นแต่ได้ฟังมาจากตำรา จะหาว่าเล่านิทานหลอกเด็กให้กลัวเฉยๆ แต่ถ้าผู้ใหญ่กลัวอย่างเด็กๆแล้ว บ้านเมืองก็ไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ เด็กเชื่อง่ายหัวอ่อน สั่งสอนน้อมใจเชื่อเร็ว ผู้ใหญ่จึงชอบสอนเด็กๆ แต่เมื่อโตขึ้นมาแล้ว ถือว่าเรามีสิทธิเสรีเต็มที่ไม่ต้องเชื่อความคิดของคนอื่น เชื่อความคิดของตนเอง หรือเข้าสมาคมกับผู้ใหญ่เลยเป็นผู้ใหญ่ไปหมด ความเชื่อและความคิดเมื่อยังเด็กอยู่ที่อบรมไว้เลยหายหมดเลย กลายมาเป็นผู้ใหญ่อย่างผู้ใหญ่ทั้งหลายที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ อนึ่ง เรื่องการทำบุญใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวร เรื่องนี้ผู้เขียนไม่รู้จริงๆ จึงตอบไม่ได้ ขอผู้รู้ทั้งหลายได้ เมตตาแนะแนวให้ผู้เขียนได้ทราบบ้างก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง กรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว ไม่ว่ากรรมดีและกรรมชั่ว ผลของกรรมนั้นย่อมเกิดที่ใจของตนเอง มิิใช่ผู้ทำกรรมผู้หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรอีกผู้หนึ่ง คล้ายๆ กับว่ามีเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้บัญชาการอยู่ ทำบุญอุทิศกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรผู้บัญชาการเพื่อให้เป็นสินน้ำใจ แล้วเจ้ากรรมนายเวรก็จะลดหย่อนผ่อนผันให้อย่างนี้เป็นต้น หรือกรรมเวรที่เราทำแก่คนอื่นนั้น คนนั้นเองเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราเห็นโทษความผิดแล้วทำบุญอุทิศไปให้แก่ เขาเพื่อเขาจะลดโทษผ่อนผันให้ อันนี้ก็ไม่ถูก เพราะเขาตายไปแล้ว ไม่ทราบไปเกิดในที่ใด และกำเนิดภูมิใด ดังได้อธิบายมาแล้วในข้างต้น คนที่ทำกรรมทำเวรแก่กันแล้วเมื่อยังเป็นคนอยู่นี้ จะพ้นจากกรรมจากเวรได้ก็เมื่ออโหสิกรรมให้แก่กันและกัน ในเมื่อยังเป็นคนอยู่นี่แหละตายไปแล้วจะอโหสิกรรมให้แก่กันและกันไม่ได้เด็ดขาด มิใช่ว่าเราได้ทำกรรมชั่วทุจริตด้วยจิตที่เป็นบาปมีอกุศลมูลเป็นพื้น มาภายหลัง ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี หรือเท่าไรก็ตาม ระลึกถึงกรรมอันนั้นแล้วกลัวบาป จึงทำบุญอุทิศไปให้แก่ผู้ที่เราได้กระทำแก่เขานั้นเพื่อให้เขาอโหสิกรรมให้ ดังนี้เป็นการไม่ยุติธรรม เป็นการตัดสินคดีภายหลังจากเหตุการณ์ ถ้าถือว่าเราระลึกถึงความชั่วของตนแล้ว ทำความดีเพื่อแก้ตัวหรือปลอบใจของตัวเอง เป็นการสมควรแท้ การทำบุญให้แก่ผู้ตายไปแล้วจะได้หรือไม่ มีอรรถาธิบายกว้างขวางมาก อธิบายมาก็มากพอสมควร พอที่ผู้ฟังจะเข้าใจบ้างตามสมควร จึงขอยุติไว้เพียงแค่นี้เสียก่อนเพื่อจะได้ตอบปัญหาคนอื่นต่อไป ..................................................... "เพราะหากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"

วิธีใช้หนี้พ่อแม่

วิธีใช้หนี้พ่อแม่ไม่ยากเลย จงสร้างความดีให้กับตัวเอง และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ ตัวเอง ตัวเรา พ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะ ทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุขส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วยเป็นการขอขมาลาโทษ ฯ . . ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐานรับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ บางคนลืมพ่อลืมแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกั บแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไรก้าวถอยหลังดำน้ำไม ่โผล่ ฯ บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่า พ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอน คำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล caseนี้หลวงพ่อจะ เตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว : ผู้ รวบรวม ) ฯ เมื่อเร็วๆนี้ฆ่าพ่อตาย แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐาน พอเข้าวัดมันร้อนไปหมดปวดหัว เข้าไม่ได้นี่ เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอนต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้…….. คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่ง กรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร ? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯ ขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดีทั้งต่อหน้าและลับ หลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้องอโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือ รดเท้า ฯ นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของ เราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้ พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้วยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณนั้น คือหนี้บุญคุณของบิดามารดา ฯ " หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง " เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบัน เป็นดอกเตอร์ อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้ บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ แล้วก็บอกพ่อแม่ว่าความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่ ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่นั่ง ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ ให้แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมาแล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังพ่อฟังแล้วน้ำตาร่วง สร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้ เลยพ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด ฯ ลูกหลานโปรดจำไว้ เมื่อแยกครอบครัว ไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไร ต้องไปหาพ่อแม่ ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทานอย่ากินเหล้า เข้า โฮเต็ล ฯ ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อ จรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา…….. พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้างฯ ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้า ขอฝากไว้ด้วย คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลง ดำน้ำไม่โผล่ ก้าว ลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว ฯ www.jarun.org

ผลกรรมของหลวงพ่อ...(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

อาตมา มี ประสบการณ์เกี่ยวกับกฎแห่งกรรม ที่เราจะต้องรับใช้ เมื่อเรามีจิตมีปัญญาเกิด จะรู้กฎแห่งกรรมทันที จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เวรกรรมตามสนองอาตมา จึงรู้บุญบาป เมื่อก่อนนี้อยู่กับยาย อาตมาไม่สนใจกับพระตลอดกาล เวลาไปวัดหาบของไปทำบุญที่วัด ยายก็ต้องให้เก็บเอาก้อนดินไปด้วย ใส่กระบุงไปข้างละ ๓ ก้อน ไปถึงวัดแล้วให้ไปโยนไว้ที่มันเป็นบ่อ เป็นหลุมอยู่ในวัด ยายบอกได้บุญ อาตมาบอกว่าคนอื่นเขาไม่หาบดินไปวัดกันหรอก มีบ้านเราบ้านเดียวอายเขาตาย ยายบอกว่าเราไปวัดเหยียบดินติดเท่ามานี่เป็นกรรมนะ เป็นบาป ใช้หนี้สงฆ์ เป็นหนี้สงฆ์มากเป็นบาปเป็นกรรม แต่แกก็ไม่ได้อธิบาย เขาเล่ากันมาอย่างนี้แกก็จำมาอย่างนี้ ก็ทำมาอย่างนี้ไม่เหมือนคนเดี๋ยวนี้ว่าไม่บาป บาปได้ยังไงเหยียบแค่นิดเดียวพระก็ถมเอาเองซิ นี่คนรุ่นใหม่เข้าใจอย่างนี้ แต่คนรุ่นเก่าถือนักถือเชื่อเข้าไว้ก่อนมันมีประโยชน์ มันได้กำไรชีวิต คือเชื่อกฎแห่งกรรม อาตมาเป็นเด็กเมื่อมาบวชใหม่ ๆ ไปบ้านญาติที่เขาเป็นนักเลง เป็นโจร เป็นเสือ เขากินเหล้ากัน พอเห็นพระมาเขาเก็บแก้วหมดเลย เอาหล้าแอบเลย ยังกลัวบาปนะ เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง กินต่อหน้าพระเลยสบายมาก แถมงานศพเล่นไพ่หน้าศพอุทิศส่วนกุศล แล้วพระก็สวดไป ไม่ได้เกรงกลัวต่อบาปกรรมแต่ประการใด เขาว่าบาปกรรมไม่มีแน่นอนเข้าใจอย่างนี้ สร้างกรรม-กินอาหารที่ยายถวายพระ ตอนอยู่ที่โรงเรียนมัธยม ยังอยู่กะยาย ยายให้เอาอาหารไปถวายพระ แล้วเราก็เอาไปทานเสียเองทั้งคาว ทั้งหวาน แล้วก็บอกว่าไปถวายสมภาร เดินจากบ้านไปไม่มีรถหรอก เดินไปเป็นระยะทาง ๑ กิโลเมตร อาตมาไปก็ไปเจอเพื่อนนักเรียนที่สร้างความดีมาด้วยกัน หนีโรงเรียนกันสะบัด เพื่อนบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวเลย เราก็นึกเลยว่าจะเอาไปให้พระทำไม เราก็ยังไม่ได้กินเลย พรรคพวก ๔-๕ คนด้วยกัน ก็เห็นด้วย เลยตั้งวงกินกันเสียเลยเรียบร้อยล้างปิ่นโตเสร็จกลับบ้าน ยายถาม ไปวัดเจอสมภารไหมล่ะ บอกยายว่าผมไม่ได้ขึ้นกุฏิหรอก ให้เด็กมันถ่ายปิ่นโตให้แล้วผมก็มา ยายบอกว่าต่อนี้ไปต้องรับพรด้วยนะ รับพรสมภารมาแล้วก็มาบอกยาย ยายจะได้ชื่นใจแล้วบอกท่านด้วยว่ายายให้เอาอาหารมาถวาย วันหลังเอาอีกแล้ว ให้ไปอีกก็เจอเพื่อนอีก โรงเรียนปิด ก็แบบเดิม กินเสร็จแล้วไปตีผึ้งต่อ ยายถามว่า “เจอสมภารมั้ย” เจอครับ รับพรเสร็จผมก็มา แท้ ๆ สมภารดันมาอยู่บนบ้านเรา มาไม่บอกเราเลย มานั่ง นั่งตั้งนานแล้ว วันนั้นสมภารไปฉันบ้านใต้ ฉันเสร็จแล้วก็มานั่งคุยกับยาย แวะมาเยี่ยมยาย เราไม่รู้ ไม่บอกเรา เราไม่ทันแหงนดูบนบ้าน สมภารนั่งยิ้ม ยายเป็นคนใจบุญ พระชอบมาเยี่ยม แต่อาตมารำคาญ พอสมภารกลับไปแล้วโดนหนัก บอกว่าบาป ถามว่านี่กี่เที่ยวแล้ว เราบอกว่า ๒ เที่ยวแล้วครับ ยายบอกว่า นี่ต้องเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม กินข้าวไม่ลง เราก็ถามว่าเปรตสูงกว่าต้นตาลมั้ย ยายบอกว่าไม่เห็น เราไม่เชื่อหรอก ว่าหลอกเราแต่เราไม่พูด เถียงไม่ได้ โกงค่าเรือจ้าง ในเวลากาลต่อมาไปโรงเรียนต้องนั่งเรือจ้างข้ามฟากเดือนละ ๒๕ สตางค์ อาตมาโกงค่าเรือจ้างไม่ให้ค่าเรือจ้าง กินก๋วยเตี๋ยวผัดไทย แถมเลี้ยงเพื่อนด้วยนะ ก็โกงค่าก๋วยเตี๋ยวเขาอีก ยิงนก-หักคอ-หักขานก ในเวลาต่อมา โรงเรียนปิดหลายวันเทอมสุดท้ายแล้ว ครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลเขามาขอแรงอาตมาไปยิงปืน ไปยิงนก เราก็ไม่รู้บุญบาปมันมีจริงอย่างไร สนุกดีก็เอาปืนลูกซองดาวกระจาย ๕ นัด บอกกับโยมว่าจะไปติดวิชาตอนโรงเรียนปิด อยู่สัก ๗ วันจะกลับมา ขอสตางค์สัก ๑๐๐ แม่ก็ให้ตังค์ไป เราจะเอาปืนไปได้ยังไง ก็เอาที่นอนไปด้วยเอาเสื่อออกมาเอาปืนไว้ข้างใน เช้ากินข้าวแล้วก็ออกตามทุ่งตามหนองยิงนกเป็ด นกกระสา พอยิงได้จับหักคอใส่ตะข้อง พอนกมันจิก จิกก็ถลกหนังเลย ทรมานเหลือเกิน เราไม่ทราบว่ามันจะมีบาปกรรมแต่ประการใด ล่วงมาอีกวันหนึ่ง ก็ไปยิงนกกระสาถูกปีกมันหักแล้วมันบินไม่ได้เราก็ขับมัน เหนื่อยมาก แล้วก็จับได้ ทำไง หักขาเลย นกก็ดิ้นร้องไห้ตาย สรุปให้ฟังที่อาตมาทำบาปกรรม ต่อมาได้บวชในพระพุทธศาสนา พ่อแม่ให้บวชโดยไม่ได้เลื่อมใส ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่อย่างนี้ก่อนที่จะบวชก็ไปเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ ไปอยู่โรงเรียนหลายโรงเรียนอยู่วัดก็ตั้งหลายวัด พอเสร็จจากเรียนหนังสือก็มาบวช กะว่าจะบวชสักพรรษาเดียว ท่องเรียนหนังสือไปจนจบหลักสูตร ก็ไปเจริญพระกรรมฐานออกป่าดงพงไพร

วิธีการอธิษฐานก่อนนอน เพื่อตัดกรรมตนเอง

วิธีการอธิษฐานก่อนนอน เพื่อตัดกรรมตนเอง อธิษฐานหน้าพระพุทธรูป หรือสวดก่อนนอนก็ได้ (นะโม 3 จบ) “ สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต “ หากข้าพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วย กายวาจา ใจ ก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมาขออนุญาตมีคู่ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูกที่ชอบที่ควร ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัวตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้องจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใดๆ โรคภัยใดๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลก ทางธรรมตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนความพยาบาท ความอาฆาตและคำสาปแช่งในทุกชาติ ทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร ขอให้พ้นนรกภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม เทอญ …